The War with Grandpa สงครามชิงเตียงนอนระหว่างหลานสุดซ่ากับคุณปู่รุ่นเก๋า

The War with Grandpa มีชื่อไทยสุดครีเอทว่า “ถ้าปู่แน่ ก็มาดิครับ” ถือเป็นหนังที่มีที่มาสุดแปลกเรื่องหนึ่งเลยก็ว่าได้ เพราะจุดเริ่มต้นของโปรเจ็คนี้เกิดจากเด็กน้อยอายุเพียง 11 ปีที่ชื่อ ธี เพิร์ธ ได้อ่านหนังสือนอกเวลาเรื่องThe War with Grandpaที่โรงเรียนประถมแล้วเกิดประทับใจจนอยากชมเวอร์ชันภาพยนตร์ เขาจึงทำเหมือนที่เด็กทุกคนทำนั่นคือร้องกระจองงอแงบอกพ่อแม่ถึงสิ่งที่ตัวเองต้องการ แต่มันพิเศษตรงที่ พ่อแม่ของเขาคือ มาร์วิน เพิร์ธ (Marvin Peart) และ โรซ่า เพิร์ธ (Rosa Peart) สองโปรดิวเซอร์ภาพยนตร์ชื่อดังของวงการ จนเป็นที่มีของหนังThe War with Grandpaนั่นเอง  The War with Grandpa ได้นักแสดงรุ่นใหญ่อย่าง “โรเบิร์ต เดอ นีโร” มารับบทคุณปู่! ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าหนังเล็ก ๆ ทุนต่ำ อย่างThe War with Grandpaจะได้นักแสดงรุ่นใหญ่บารมีเหลือล้นอย่าง โรเบิร์ต เดอ นีโร (Robert De Niro) มารับบทคุณปู่ซึ่งเป็นตัวละครสำคัญของเรื่อง ส่วนนักแสดงที่มารับบท “หลาน” หรือ “ปีเตอร์” คู่ปรับของคุณปู่ในเรื่องได้แก่นักแสดงเด็กอย่าง โอ๊คส์ เฟกลีย์ (Oakes Fegley) ที่เคยมีผลงานใหญ่อย่าง Pete’s Dragon (2016) โดยThe War with Grandpaได้ ทิม ฮิลล์ (Tim Hill) ผู้กำกับที่เคยผ่านหนังแอนิเมชั่นและหนังเด็กมาแล้วนับไม่ถ้วน แต่ที่สุดจัดยิ่งไปกว่านั้นThe War with Grandpaยังมีชื่อ ธี เพิร์ธ ลูกชายวัย 11 ปีของสองโปรดิวเซอร์ที่เป็นตัวตั้งตัวตีของภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นหนึ่งใน “โปรดิวเซอร์” อย่างเป็นทางการของโปรเจ็คด้วย ทำให้เขาได้ชื่อว่าเป็นโปรดิวเซอร์ภาพยนตร์ที่อายุน้อยที่สุดเท่าที่เคยมีมา!  The War with Grandpaว่าด้วยเรื่องราวของ ปีเตอร์ (Oakes Fegley) ที่ถูกพ่อแม่บังคับให้ต้องสละห้องนอนสุดรักให้กับ “คุณปู่” (Robert De Niro) อย่างไม่เต็มใจนัก จนทำให้เขาต้องทำทุกวิถีทางเพื่อแย่งชิงห้องนอนของตัวเองคืนมาให้ได้ โดยมีเพื่อน ๆ เป็นกำลังหนุน แต่ทางด้านคุณปู่ก็ไม่ยอมง่าย ๆ จนเป็นที่มาของมหาสงครามแย่งชิงห้องนอนที่ทั้งปู่และหลานฟาดฟันกันอย่างดุเดือด  แค่ดูจากเรื่องย่อก็บอกได้คำเดียวว่านี่เป็นหนังที่เหมาะกับการไปดูเป็นครอบครัว แถมยังเป็นหนังครอบครัวฟิลกู้ดที่หายากในยุคนี้เพราะส่วนใหญ่หนังแนวนี้มักถูกแทนที่ด้วยหนัง “บล็อกบัสเตอร์” จนทำให้หนังครอบครัวหายหน้าหายตาไปจากโลกภายนตร์  สำหรับใครที่อยากชมThe War with Grandpaอาจจะต้องเช็คว่าโรงภาพยนตร์ใกล้บ้านท่านมีเข้าฉายหรือไม่ เพราะThe War with Grandpaเป็นค่อนข้างเป็นหนังทางเลือกที่ไม่ค่อยมีคนจับตามองมากนัก  หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนังต่างประเทศเรื่องอื่นๆ เช่น “แจ็คกี้ คูแกน” ดาราเด็กที่ห่างหายไปจากวงการสู่ลุงเฟสเตอร์ จากอดัมส์แฟมิลี่ ได้อีกที่ filmograd.net

“แจ็คกี้ คูแกน” ดาราเด็กที่ห่างหายไปจากวงการสู่ลุงเฟสเตอร์ จากอดัมส์แฟมิลี่

ในปี 1921 นั้นถือว่าเป็นปีทองของเด็กชายตัวน้อยที่ชื่อว่า แจ็คกี้ คูแกน หลังจากที่เจ้าตัวมีโอกาสได้แสดงภาพยนตร์ร่วมกับชาร์ลี แชปลินในเรื่องเดอะคิด จนทำให้เขามีชื่อเสียงโด่งดังเป็นอย่างมาก จนกระทั่งมีผลงานออกจากโทรทัศน์และสินค้าต่างๆ มากมาย ก่อนที่เขาจะประสบปัญหาชีวิตส่วนตัวและหายไปจากวงการพร้อมกับมาอยู่ในวงการแสดงอีกครั้งในฐานะลุงเฟสเตอร์จากอดัมส์แฟมิลี่นั่นเอง “แจ็คกี้ คูแกน” จากดาราเด็กสู่ลุงเฟสเตอร์ สำหรับผลงานเรื่องแรกที่แจ็คกี้ คูแกนได้ร่วมงานกับชาร์ลี แชปลินก็คือเรื่องอะเดย์เพลสเชอร์จากความสามารถที่เขาสามารถเลียนแบบคนอื่นในกองถ่ายได้นั่นเอง จนกระทั่งเขาได้รับบทเป็นจอห์นในเรื่องเดอะคิด ซึ่งเป็นเด็กที่ถูกทิ้งไว้หน้าบ้านมหาเศรษฐีแต่เหตุการณ์กลับพลิกผันจนต้องไปอยู่กับพระเอกร่างเล็กในที่สุด โดยภาพยนตร์เรื่องนี้เองที่ทำให้เขาโด่งดังและเป็นพรีเซนเตอร์ให้ของใช้มากมายเลยทีเดียว ในช่วงที่แจ็คกี้ คูแกนเริ่มโตขึ้นมาแล้วนั้น เจ้าตัวก็ต้องพบความจริงว่าตัวเองต้องหยุดงานแสดงเพื่อไปสนใจเรื่องการเรียนหนังสือมากขึ้น จนกระทั่งช่วงอายุ 20 ปีที่เขาได้รู้ความจริงว่าเงินที่เคยได้จากการแสดงนั้นกลับถูกแม่และพ่อบุญธรรมนำเงินไปใช้เกือบทั้งหมดและต้องเหลือเงินอยู่เพียงแสนดอลลาร์จากสี่ล้านเลยทีเดียว ก่อนที่สุดท้ายจะเป็นทางชาร์ลี แชปลินที่ได้ให้ความช่วยเหลือเขาในเวลาต่อมา หลังจากที่คูแกนออกจากวงการบันเทิงไปหลายปี เขาก็กลับมาสู่หน้าจอโทรทัศน์อีกครั้งด้วยบทบาทของลุงเฟสเตอร์ประจำครอบครัวอดัมส์ที่เคยเป็นการ์ตูนดังมาก่อน จนกลายเป็นภาพจำสำหรับแฟนๆ ในยุค 60 พร้อมกับได้แสดงในซีรีย์นี้ถึง 64 ตอนด้วยกัน ก่อนจะลาออกจากวงการนี้ไปอีกครั้งในปี 1980 หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนังต่างประเทศเรื่องอื่นๆ เช่น ฮิตติดกระแส Netflix : The Meg โครตฉลามพันล้านปี หนังเด็ดฟอร์มยักษ์ ได้อีกที่ filmograd.net

ชีวิตนี้ขอเลือกตามหัวใจตัวเอง “The Half Of It” รักครึ่ง ๆ กลาง ๆ หนังดีจาก Netflix

“The Half Of It” กับการเล่าถึงเรื่องราวช่วงชีวิตวัยรุ่นที่ถือได้ว่าเป็นช่วงชีวิตที่ใคร ๆ ก็รู้สึกผูกพันและไม่อยากสูญเสียมันไป เพราะเราได้ทำหลายสิ่งหลายอย่างที่เราอยากทำ ได้ทดลองสิ่งที่เราได้แต่สงสัยในวันเด็ก ได้มีครั้งแรกในเกือบทุกอย่าง ได้เริ่มต้น ซึ่งเป็นภาพจำที่แสนสุขสมใจของพวกเรา แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนหรอกนะที่จะสามารถใช้ชีวิตวัยรุ่นได้ตามหัวใจตนเองอย่างแท้จริง เพราะความจริงแล้วเราต่างก็มีข้อจำกัดและแย่ที่สุดคือเราได้ปิดกั้นหัวใจของเราเองตั้งแต่ต้น หนังเรื่องนี้เป็นการเล่าชีวิตช่วงไฮสคูลของเด็กสาวเชื้อสายเอเชียที่อาศัยอยู่กับพ่อเพียงลำพังในเมืองที่แสนเงียบสงบอย่าง “เอลลี่” ที่ต้องคอยหารายได้พิเศษจากการเขียนรายงานให้เพื่อนในชั้นเรียน จากพรสวรรค์ด้านการเขียนของเธอ ทุกอย่างก็ดำเนินไปอย่างทุกวัน ถ้าสังเกตจะรู้เลยว่าชีวิตของเอลลี่ค่อนข้างจืดชืดและไร้สีสันเป็นอย่างมาก แต่แล้ววันหนึ่ง “พอล” หนุ่มนักกีฬาประจำโรงเรียนก็มาขอร้องให้เธอเขียนจดหมายรักให้ เพราะได้ยินมาว่าเธอเขียนเก่ง แต่เธอบอกปัดในตอนแรกเพราะคิดว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวและเธอไม่อยากเข้าไปก้าวก่าย แต่ด้วยเหตุจำเป็นที่บ้านเธอมีค่าใช้จ่ายเยอะ นั่นทำให้เธอตอบรับงาน และยิ่งรู้ว่าคนที่พอลตั้งใจจะเขียนถึงคือ “แอสเทอร์” สาวสวยทรงเสน่ห์ ที่เธอเองกำลังสนใจ เธอก็ยิ่งยินดี แน่นอนว่าสำนวนของเอลลี่สามารถทำให้แอสเทอร์สนใจได้ไม่อยากเลย เพราะมันเต็มไปด้วยความโรแมนติก แต่ปัญหาเกิดตอนที่พอลต้องออกเดตกับเธอต่อหน้า เพราะเขาเป็นคนที่พูดไม่เก่งซึ่งขัดกับคำพูดในจดหมายอย่างสิ้นเชิงทำให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างลำบากในช่วงแรก เขาจึงขอร้องให้เอลลี่คอยช่วย พวกเขาสองคนก็เริ่มสนิทกันมากขึ้น จนทำให้พอลเองเกิดอารมณ์หวั่นไหวไปกับเอลลี่ และการกระทำของเขาก็ทำให้รู้ว่าแท้จริงแล้วเอลลี่หลงรักแอสเทอร์มาโดยตลอดตั้งแต่แรก ยิ่งไปกว่านั้นยังทำให้เอลลี่กล้าทำตามหัวใจของตนเองในการเปิดเผยความรู้สึกที่มีต่อแอสเทอร์ และทั้งสองก็ได้พูดคุยเริ่มความสัมพันธ์ที่สวยงามกันตั้งแต่วันนั้น ส่วนตัวคิดว่าหนังเรื่องนี้เล่าด้วยโทนที่ค่อนข้างเศร้า เย็น ในตอนแรก แล้วค่อย ๆ บรรจงใส่ความอบอุ่นเข้าไปในเนื้อเรื่องผ่านมิติของตัวละครได้ค่อนข้างแนบเนียน ทำให้เราอินมากขึ้น และค่อนข้างเข้ากับโลเคชั่นในเมืองที่ค่อนข้างเงียบเหงาแม้ว่าจะมีวัยรุ่นอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากก็ตามที ดูเรื่องนี้จบความคิดที่อยากทำตามความฝันก็กระโจนเข้ามาอย่างพรั่งพรู ใครที่กำลังลังเลในการทำตามใจตนเองควรดูเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับหนังเรื่อง “The Half Of It” ประเภท : ดราม่า/LGBTQ ผู้กำกับ : อลิซ วู นักแสดงนำ : เลียห์ ลูอิส,โวล์ฟกัง โนโวกรตซ์,แดเนียล ดีเมอร์ ความยาว : 1 ชั่วโมง 44 นาที กำหนดฉาย : 2563 หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนัง Netflix เรื่องอื่นๆ เช่น รีวิว Holidate (ฮอลิเดท) หนังรักสำหรับคนเกลียดวันหยุด ที่จะทำให้คุณฟินกว่าเดิม ได้อีกที่ filmograd.net

ฮิตติดกระแส Netflix : The Meg โครตฉลามพันล้านปี หนังเด็ดฟอร์มยักษ์

จากตำนานความเชื่อ และมุมมองด้านวิทยาศาสตร์ผนวกให้เกิดเป็นเรื่องราวของฉลามยักษ์ที่มนุษย์เชื่อว่าได้สูญพันธุ์ไปแล้วกว่า 200 ล้านปีมาแล้ว แต่ในเรื่องราวของ The Meg อาจทำให้ความเชื่อเหล่านั้นสั่นครอนก็เป็นได้ เมื่อทีมสร้างโปรดักชักใหญ่ที่ทุ่มทุนสร้างความอลังการได้หยิบยกตัวละครเอกจากนวนิยาย เรื่อง Meg : A Novel of Deep Terror อย่าง “โจนาส เทย์เลอร์” อดีตนาวิกโยธินเรือดำน้ำฝีมือฉมังที่ต้องมีปมในใจจากการไม่สามารถช่วยเพื่อนในทีมให้รอดชีวิตได้ และทำให้ภารกิจของเขาล้มเหลว โจนาสเลือกที่จะใช้ชีวิตอย่างสบาย ๆ ที่ประเทศไทย แต่แล้วก็เกิดเหตุที่ทำให้เขาต้องกลับเข้าไปยังวงการนี้อีกครั้ง เมื่อนักธุรกิจคนหนึ่งได้ริเริ่มโครงการการสำรวจใต้ร่องสมุทรมาเรียน่า นอกชายฝั่งประเทศจีน แต่ทีมนักสำรวจเจอปัญหาเมื่อพวกเขาส่งเรือดำน้ำออกไปสำรวจบริเวณดังกล่าวได้รับการโจมตีจากสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ ที่พวกเขาเชื่อว่าเป็นเจ้าฉลามยักษ์ในตำนานอย่าง “เมกาโลดอน” แม้ว่าโจนาสจะเข้าไปช่วยเหลืออย่างไม่ค่อยเต็มใจเนื่องจากมีปัญหาบาดหมางกับแพทย์ประจำสถานีก็ตาม แต่สุดท้ายเขาก็ก้าวเข้าไปสู่อันตรายในครั้งนี้ ด้วยความที่หนังประเภทวิกฤตการณ์ การเอาตัวรอดของมนุษย์มักจะได้รับความนิยมสูงอยู่แล้ว แต่มันก็มีจุดที่ยากมากในการเดินเรื่องคือการสร้างให้ตัวสัตว์ประหลาดนั้นมีความสมจริง เพื่อช่วยให้ผู้ชมเชื่อถึงพลังและอำนาจการทำลายล้างของมัน รวมถึงจะได้ลุ้นระทึกไปกับตัวละครต่าง ๆ ว่าพวกเขาจะสามารถเอาตัวรอดจากมหันตภัยในครั้งนี้ไปได้หรือไม่ อีกทั้งเรียกว่าเป็น “สูตรสำเร็จ” เลยก็ว่าได้ที่หนังแนวนี้จะสร้างให้พระเอกของเราเนี่ยมีความสามารถสูง บางทีก็สูงเกินยอดมนุษย์ไปอีก แต่ก็นะหนังแนวนี้เขาต้องการฮีโร่ในการช่วยเหลืออยู่แล้ว สำหรับเรื่อง The Meg มีข้อพิจารณาส่วนที่เป็นบท ส่วนตัวคิดว่ายังขาดความสมเหตุสมผล การรับกันของเหตุการณ์ และการโยงเรื่องต่าง ๆ ในเรื่องนี้มุ่งเน้นไปที่การสร้างความบันเทิง ความลุ้น ความตื่นเต้น เต็มตา เป็นส่วนใหญ่มากกว่า ส่วนเรื่องความสยองเลือดสาดบอกเลยว่าเบามาก ๆ คงเพราะไม่อยากให้หนังกลายเป็น Rate R จะได้เจาะตลาดกว้างมากขึ้นได้ ทั้งประเทศจีนและประเทศไทยเป็นหลัก ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับหนัง The Meg ประเภท : แอ็คชั่น/ไซไฟ ผู้กำกับ : จอห์น เทอร์เทิลท็อบ นักแสดงนำ : เจสัน สเตธัม,รูบี้ โรส,หลี่ ปิงปิง,เรนน์ วิลสัน ความยาว : 1 ชั่วโมง 52 นาที กำหนดฉาย : 2561 หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนังต่างประเทศเรื่องอื่นๆ เช่น รีวิว ผีอยู่ในผม (0.0 Mhz) จากเว็บตูนสุดโด่งดัง กลายมาเป็นหนังผีสุดหลอน ได้อีกที่ filmograd.net

รีวิว ผีอยู่ในผม (0.0 Mhz) จากเว็บตูนสุดโด่งดัง กลายมาเป็นหนังผีสุดหลอน

เอาล่ะสิในเมื่อผีอยู่หรือวิญญาณนั้นมีอยู่ทุกที่ที่เราไปทุกที่ที่เราอยู่ ไม่เว้นแม้กระทั่งอยู่ในผม หรือศรีษะเราอย่างใน รีวิว ผีอยู่ในผม (0.0 Mhz) นั่นเอง เรียกได้ว่าต้องนับถือคนที่ตั้งชื่อเรื่องหนังเรื่องนี้เลย เพราะมันทำให้หนังเรื่องนี้มันมีความน่าสนใจ จนทำให้คนดูอย่างเราต้องไปหามารับชมให้รู้ให้ได้ว่า หนังเรื่องนี้มันจะเป็นยังไงกันแน่ แล้วเป็นผีที่อยู่ในผมมันจะออกมาในลักษณะแบบไหนกันนะ เอาเป็นว่าเราไปดูกันเลยดีกว่าว่ามันเป็นยังไงกันบ้าง ไปเลย! ชื่อเรื่อง : “ผีอยู่ในผม” (0.0 Mhz) แนว : สยองขวัญ นักแสดง : Yoon-young Choi, Shin Joo-Hwan, Eun-ji Jung, Won-Chang Jung, Nan-Hee Kim, Sung-yeol Lee  , Jung-Hee Nam, Myung-shin Park บทภาพยนตร์ : Sun-Dong Yoo ผู้กำกับ : Sun-Dong Yoo ค่าย : Smile Entertainment วันฉาย : 29 พฤษภาคม 2019 เวลา : 01 ชั่วโมง 42 นาที IMDb : 4.8 (จากทั้งหมด 537 โหวต) เรื่องย่อ เรื่องราวของวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งที่ประกอบไปด้วย “ซังยอล” (รับบทโดย Sung-yeol Lee) , “โซฮี” (รับบทโดย Eun-ji Jung) , “ยุนจอง” (รับบทโดย Yoon-young Choi) , “ฮันซอก” (รับบทโดย Shin Joo-Hwan) และ “แทซู” (รับบทโดย Won-Chang Jung) ซึ่งพวกเขานั้นชอบกล้าท้าผีมาก โดยพวกเขาได้ไปลองดีตามสถานที่รกร้างต่างๆ เพื่อทดสอบคลื่นความถี่ที่สามารถเรียกผีได้ จนในวันหนึ่งที่พวกเขาได้ไปลองดีที่บ้านร้างแห่งหนึ่ง ที่ที่ทำให้การทดสอบของพวกเขาต้องกลายเป็นฝันร้ายในทันที ซึ่งพวกเขาจะต้องหาทางเอาชีวิตรอดจากผีสาวผมยาวให้ได้ รีวิว ผีอยู่ในผม (0.0 Mhz) หนังเรื่องนี้นั้นมีการดัดแปลงมาจากเว็บตูนสุดโด่งดังที่เขียนโดย “Jak Jang” นั่นเอง ซึ่งสำหรับหนังเรื่องนี้นั้นพล็อตเรื่องจะมาพร้อมๆกับสูตรสำเร็จตามแบบฉบับหนังไทยที่เราได้ดูกันเลย คือเราสามารถเดาทางได้ว่าท้ายที่สุดแล้วใครจะเป็นคนที่รอดชีวิต ฉากผีต่างๆที่เราต้องตกใจและตื่นเต้นก็เรียกได้ว่าเป็นอะไรที่เราสามารถมองออกได้อีกเช่นเคย แต่มีสิ่งหนึ่งที่ดูจนจบแล้วยังหาคำตอบให้กับหนังเรื่องนี้ไม่ได้เลยก็คือ “ผีผมยาวนั้นต้องการอะไร ทำไมต้องตามฆ่าอย่างไร้เหตุผล” เรียกได้ว่าถ้าหากใครที่เคยอ่านในเว็บตูนมาก่อนแล้วมาดูหนังเรื่องนี้นั้น อาจจะไม่ค่อยถูกใจกันสักเท่าไร เพราะในการ์ตูนนั้นมันมีอะไรที่ลึกลับซับซ้อน มีการดึงความสนใจของผู้อ่านอย่างเราได้มากกว่ามาก เหมือนในเว็บตูนมันจะมีการบิ้วอารมณ์เราได้มากกว่าซะอีก ทั้งๆที่เป็นแต่การ์ตูนนะเนี่ย ตัวอย่าง หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนังต่างประเทศเรื่องอื่นๆ เช่น รีวิวหนัง แวมไพร์ ทไวไลท์ 2 (The Twilight Saga: New Moon) ได้อีกที่ filmograd.net

รีวิว Holidate (ฮอลิเดท) หนังรักสำหรับคนเกลียดวันหยุด ที่จะทำให้คุณฟินกว่าเดิม

เชื่อว่าสำหรับคอหนังหลายๆคนคงจะคุ้นเคยหรือเคยได้ยินชื่อของ “McG” กันมาบ้างแล้วล่ะ ด้วยความที่เขาเคยมีผลงานการกำกับภาพยนตร์ที่เคยสร้างชื่อมาแล้วอย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นผลงานการกำกับหรือเป็นผู้อำนวยการสร้างอย่าง “Charlie’s Angels” , “Rim of the World” หรือหนังในเครือของ “The Babysitter” นั่นเอง และในวันนี้แอดจะพามาดูผลงานของเขากันอีกเรื่องอย่าง รีวิว Holidate (ฮอลิเดท) แต่ว่าในหนังเรื่องนี้นั้นเขาไม่ได้ลงมากำกับเองหรอกนะ เขาทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งในส่วนของผู้อำนวยการสร้างนั้น ยังไงกว่าหนังจะปล่อยออกมาฉายได้ก็ต้องผ่านเขาก่อนทุกขั้นตอนอยู่แล้ว เรียกได้ว่าน่าจะรับรองผลงานได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว ชื่อเรื่อง : “Holidate” (ฮอลิเดท) แนว : โรแมนติก คอมเมดี้ นักแสดง : Emma Roberts, Luke Bracey บทภาพยนตร์ : Tiffany Paulsen ผู้กำกับ : John Whitesell ค่าย : Netflix วันฉาย : 28 ตุลาคม 2020 เวลา : 01 ชั่วโมง 43 นาที IMDb : 6.3 (จากทั้งหมด 1,602 โหวต) เรื่องย่อ เรื่องราวของ “สโลน” (รับบทโดย Emma Roberts) หญิงสาวผู้ที่เกลียดวันหยุด เพราะมันเหมือนเป็นวันรวมญาติ ที่ทำให้เธอต้องโดนกดดันจากคนเป็นแม่เรื่องที่อยากให้เธอเริ่มสร้างครอบครัวของตนเองได้แล้ว และในทุกๆวันหยุดนั้นแม่ของเธอก็มักจะพยายามจับคู่กับผู้ชายให้เธอมาโดยตลอด โดยในวันหนึ่งเธอได้พบเจอเข้ากับ “แจ็คสัน” (รับบทโดย Luke Bracey) ชายผู้ที่เกลียดวันหยุดเช่นกันด้วยความบังเอิญในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ซึ่งในการพบกันของพวกเขานั้น พวกเขาทั้งคู่ได้มีการตกปากรับคำว่า จะเป็นแฟนกันในทุกๆวันหยุดแบบไม่ผูดมัดใดๆทั้งสิ้นตลอดทั้งปี รีวิว Holidate (ฮอลิเดท) เอาเป็นว่าสำหรับหนังเรื่องนี้นั้น สามารถดูได้แบบเพลินๆน่ารักดีนะ เป็นหนังแนวโรแมนติกคอมเมดี้ที่ดูแล้วไม่น่าเบื่อย่างที่คิด เพราะในหนังนั้นพยายามสอดแทรกมุกตลกมาให้เราแอบขำ แอบบอมยิ้มได้ตลอดทั้งเรื่อง อีกทั้งนางเอกในหนังเรื่องนี้ยังน่ารักมากๆ เข้าขั้นสวยได้เลยแหละ ขนาดแอดเองเป็นผู้หญิงด้วยกัน ยังหลงนางเลย แถมพระเอกของเขาก็ยังดูดีอีกด้วย เรียกได้ว่าในหนังเรื่องนี้มีคนหน้าตาดีกันทั้งเรื่องเลยจริงๆ และในส่วนของการดำเนินเรื่องนั้นก็ถือได้ว่า เดินเรื่องได้รวดเร็วมาก ไม่มีรีรออะไรเลยสักนิด เปิดเรื่องมาปุ๊ป พระเอกกับนางเอกก็ตกลงเป็นแฟนกันวันหยุดซะแล้ว ซึ่งถ้าถามหาว่าดูหนังเรื่องนี้แล้วได้อะไร แอดบอกเลยว่า มันได้ข้อคิดอย่างหนึ่งนะ นั่นก็คือ ในการที่เราจะรักใครสักคนนั้นเราควรที่จะแสดงตัวตนของเราจริงๆออกมาให้อีกฝ่ายรับรู้ ไม่ใช่เป็นการแกล้งแสดงออกมาแต่ด้านที่อีกฝ่ายต้องการ ตัวอย่าง หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนัง Netflix เรื่องอื่นๆ เช่น รีวิว Over the Moon เนรมิตฝันสู่จันทรา กับตำนานความรักในเทศกาลไหว้พระจันทร์ ได้อีกที่ filmograd.net

รีวิวหนัง แวมไพร์ ทไวไลท์ 2 (The Twilight Saga: New Moon)

หลังจากที่ได้แนะนำให้ดูภาคแรกกันไปแล้วนั้น วันนี้เรามาต่อกันใน รีวิว แวมไพร์ ทไวไลท์ 2 กันเลยดีกว่า สำหรับเรื่องราวความรักภาคต่อของแวมไพร์สุดหล่อที่ได้สร้างความแปลกตาให้กับคนดูอย่างเราไปแล้วในช่วงนั้น ซึ่งแอดต้องบอกก่อนเลยว่าสำหรับภาคต่อตอนนี้มันค่อนข้างน่าเบื่อ ยืดยาดไปหน่อย ดูแล้วพาลให้เราเบื่อได้แบบง่ายๆเลย คือดูจนจบเรื่องแล้วยังรู้สึกว่า เนื้อเรื่องมันไม่ได้มีอะไรที่ต้องการจะสื่อให้คนดูอย่างเราเหมือนอย่างในภาคแรกเท่าไรนัก แถมพระเอกของเรายังออกมาน้อยอีกต่างหาก เรียกได้ว่าออกมาตอนเรื่องใกล้จบก็ยังได้เลย เหมือนภาคนี้จะเน้นไปที่เรื่องราวของมนุษย์หมาป่าที่ไม่ได้สมกับชื่อเรื่องหนังเลยสักนิด สำหรับแวมไพร์ ทไวไลท์ 2 นี้เหมือนมีอลิซเป็นตัวละครตัวเดียวที่สามารถสร้างความสดใสให้กับคนดูอย่างเราได้สดชื่นไปตามๆกัน แต่อลิซเธอก็ออกมาอย่างน้อยนิดเท่านั้น แอดเลยต้องขอบอกเลยว่าสำหรับภาคนี้แอดว่ายังไม่ผ่านนะ เพราะถ้าเทียบจากภาคแรกแล้ว ภาคแรกยังทำได้ดีกว่าภาคนี้เยอะมาก อย่างน้อยก็ให้บรรยากาศเหมือนมีแวมไพร์อาศัยอยู่จริงๆ มีความเย็นๆเยือกๆให้คนดูอย่างเรารู้สึกได้ ชื่อเรื่อง : “The Twilight Saga: New Moon” (แวมไพร์ ทไวไลท์2) แนว : โรแมนติก แฟนตาซี นักแสดง : Kristen Stewart, Robert Pattinson, Taylor Lautner, Ashley Greene, Rachelle Lefevre, Billy Burke, Peter Facinelli, Nikki Reed, Kellan Lutz, Jackson Rathbone, Anna Kendrick, Michael Sheen, Dakota Fanning บทภาพยนตร์ : Melissa Rosenberg ผู้กำกับ : Chris Weitz ค่าย : Summit Entertainment วันฉาย : 20 พฤศจิกายน 2009 เวลา : 02 ชั่วโมง 10 นาที IMDb : 4.7 (จากทั้งหมด 262,817 โหวต) เรื่องย่อ เรื่องราวความรักภาคต่อของ “เบลล่า” (รับบทโดย Kristen Stewart) และ “เอ็ดเวิร์ด” (รับบทโดย Robert Pattinson) หลังจากที่เบลล่าอายุครบ 18 ปีบริบูรณ์นั้น เอ็ดเวิร์ดก็ตัดสินใจออกไปจากชีวิตของเธอ เพราะต้องการให้เธอไปมีชีวิตแบบคนปกติธรรมดาทั่วไป นั่นทำให้เบลล่าใช้ชีวิตแบบไร้เรี่ยวแรง ไม่คบหากับใครและใช้ชีวิตอยู่ตามลำพัง ซึ่งในขณะเดียวกันนั้นเองเธอก็ค้นพบว่า เธอสามารถพบกับเอ็ดเวิร์ดได้อีกครั้งก็ต่อเมื่อเธอตกอยู่ในอันตรายเท่านั้น นั่นทำให้เธอตัดสินใจทำเรื่องเสี่ยงอันตรายมากขึ้นเรื่อยๆ ตัวอย่าง “แวมไพร์ ทไวไลท์ 2“ หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนังต่างประเทศเรื่องอื่นๆ เช่น รีวิว Twilight (แวมไพร์ ทไวไลท์ แรกรัตติกาล) กับความรักของแวมไพร์ ได้อีกที่ filmograd.net

รีวิว Twilight (แวมไพร์ ทไวไลท์ แรกรัตติกาล) กับความรักของแวมไพร์

สำหรับวันนี้แอดจะพาทุกคนมาดู รีวิว Twilight  หนังเก่าที่เคยเป็นกระแสโด่งดังมาก่อนในสมัยนั้น ซึ่งที่แอดเลือกหยิบหนังเรื่องนี้มาบอกเล่าอีกครั้ง นั่นก็เพราะว่าหนังเรื่องนี้เพิ่งได้เข้าใน Netflix เมื่อไม่กี่วันมานี้ แถมยังติด Top 10 ในทันทีอีกต่างหาก โดยหนังเรื่องนี้นั้นสร้างขึ้นมาจากนิยายขายดีอย่าง “Twilight” ที่เขียนโดย Stephenie Meyer นั่นเอง ชื่อเรื่อง : “Twilight” (แวมไพร์ ทไวไลท์) แนว : โรแมนติกแฟนตาซี นักแสดง : Kristen Stewart, Robert Pattinson, Billy Burke, Peter Facinelli บทภาพยนตร์ : Melissa Rosenberg ผู้กำกับ : Catherine Hardwicke ค่าย : Summit Entertainment วันฉาย : 17 พฤศจิกายน 2008 เวลา : 02 ชั่วโมง 01 นาที IMDb : 5.2 (จากทั้งหมด 421,299 โหวต) เรื่องย่อ เรื่องราวของ “เบลล่า สวอน” (รับบทโดย Kristen Stewart) เด็กสาวในครอบครัวที่พ่อแม่หย่าร้างกัน และแยกกันอยู่ ซึ่งเธอได้ใช้ชีวิตอยู่กับแม่ของเธอมาโดยตลอดตั้งแต่เด็ก แต่ในวันหนึ่งแม่ของเธอก็ได้แต่งงานใหม่ และสามีใหม่ของแม่เธอเป็นนักเบสบอลที่ต้องเดินทางไปแข่งขันบ่อยๆ เธอจึงเห็นว่าถ้าเธอยังอยู่กับแม่นั้น แม่เธอจะต้องคอยอยู่ดูแลเธอที่บ้านแทนที่จะได้ออกเดินทางไปพร้อมกับสามีใหม่ เบลล่าจึงอยากเปิดโอกาสให้แม่ของเธอมีความสุขกับชีวิตคู่ครั้งใหม่นี้ให้เต็มที่ เธอจึงตัดสินใจย้ายไปอยู่กับพ่อของเธอที่เมืองฟอร์ก สหรัฐอเมริกา เมืองที่มีฝนตก หนาวเย็นตลอดทั้งปีแทน เมื่อเบลล่าได้เข้าไปเรียนที่โรงเรียนแห่งใหม่ เธอก็ได้พบเข้ากับ “เอ็ดเวิร์ด คัลเลน” (รับบทโดย Robert Pattinson) ผู้ชายที่สุดแสนจะเพอร์เฟ็ค ไม่ว่าจะเป็นรูปร่าง หน้าตา ความแข็งแรง และความฉลาดที่เรียกได้ว่าครบเครื่องเอามากๆ แต่ภายใต้ความเพอร์เฟ็คนี้กลับมีความลับบางอย่างซ่อนอยู่ รีวิว Twilight สำหรับหนังเรื่องนี้เรียกได้ว่าเป็นยุคบุกเบิกของหนังที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับแวมไพร์ในสมัยนั้นได้เลย เพราะด้วยความที่มันเป็นหนังรักที่มีเรื่องราวของแวมไพร์ และมีฉากต่อสู้เพื่อปกป้องคนที่รักเราให้เราได้ดูได้อย่างไม่น่าเบื่อเลย ซึ่งสำหรับใครที่ไม่ชอบหนังรักที่เป็นหนังรักแบบความรักหวานแหวว แอดว่าหนังเรื่องนี้ก็ตอบโจทย์อยู่นะ อีกทั้งหนังเรื่องนี้ยังเป็นหนังที่ใช้การเดินเรื่องได้แบบเรียลมากๆ เพราะตัวหนังนั้นมีการใส่เพลงประกอบมาน้อยมาก ให้อารมณ์เหมือนเรากำลังดูหนังญี่ปุ่นอยู่เลย เอาเป็นว่าสำหรับแอดนะ แอดว่าหนังเรื่องนี้น่ารักสมคำล่ำลือเลยจริง ว่าจะตามเก็บให้ครบทุกภาคเลยแหละ ตัวอย่าง หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนังต่างประเทศเรื่องอื่นๆ เช่น รีวิว Love and Monsters กับการต่อสู้เพื่อเอาตัวรอดในวันสิ้นโลก ได้อีกที่ filmograd.net

รีวิว Over the Moon เนรมิตฝันสู่จันทรา กับตำนานความรักในเทศกาลไหว้พระจันทร์

แอนิเมชั่นเดี๋ยวนี้ก็มีมากมายหลากหลายมากมายเลยจริงๆ ซึ่งในตอนนี้แอนิเมชั่นแนวมิวสิคัลก็ถือได้ว่าเป็นการ์ตูนที่กำลังเป็นที่นิยมเช่นกัน เพราะนอกจากเราจะได้ดูการ์ตูนที่มีเรื่องราวดีๆ ภาพการ์ตูนสวยๆแล้ว เรายังได้ฟังเพลงเพราะๆในเรื่องอีกต่างหาก อย่างในวันนี้แอดจะมาแนะนำให้ทุกคนได้ดูการตูนเรื่องใหม่จากทาง Netflix กันใน รีวิว Over the Moon ที่เพิ่งเข้าฉายได้เมื่อไม่นานมานี้เอง มาดูกันเลยดีกว่าว่าจะเป็นยังไงบ้าง ชื่อเรื่อง : “Over the Moon” (เนรมิตฝันสู่จันทรา) แนว : พจญภัย นักแสดง : Cathy Ang, Phillipa Soo, Ken Jeong, John Chom, Ruthie Ann Miles, Margaret Cho, Sandra Oh บทภาพยนตร์ : Alice Wu, Audrey Wells ผู้กำกับ : Glen Keane ค่าย : Netflix วันฉาย : 17 ตุลาคม 2020 เวลา : 01 ชั่วโมง 40 นาที IMDb : 6.8 (จากทั้งหมด 2,164 โหวต) เรื่องย่อ เรื่องราวของ “เฟย เฟย” เด็กสาวตัวน้อยที่ได้ฟังเรื่องราวที่มาที่ไปของเทศกาลขนมไหว้พระจันทร์จากแม่ของเธอเอง โดยเริ่มต้นจาก “ฉางเอ๋อ” เทพีบนดวงจันทร์ที่ต้องพลัดพรากจากคนรักอย่าง “โฮวอี้” ที่ต้องอยู่บนโลกมนุษย์นั่นเอง ซึ่งจากเรื่องเล่านี้นั้นทำให้เฟย เฟยมีความสนใจในดวงจันทร์มาโดยตลอด จนในวันหนึ่งแม่ของเธอก็เสียชีวิตไป และพ่อของเธอก็กำลังจะสร้างครอบครัวกับแม่คนใหม่พร้อมด้วยน้องชายคนใหม่ของเธออย่าง “ชิน” นั่นเอง แต่เฟย เฟยก็ไม่อาจที่จะยอมรับความรักครั้งใหม่ของพ่อเธอได้ เธอจึงต้องการจะขึ้นไปบนดวงจันทร์เพื่อหาหลักฐานว่าฉางเอ๋อนั้นมีอยู่จริง ไม่ได้เป็นเพียงแค่ตำนานอย่างที่พ่อของเธอคิดเท่านั้น รีวิว Over the Moon อย่างแรกเลยที่อยากจะบอก ก็คือการ์ตูนเรื่องนี้ได้กลิ่นอายของการ์ตูนดิสนีย์มากๆ ไม่ว่าจะเป็นลักษณะตัวละครที่มีความคล้ายคลึงกัน หรือแม้แต่ลำดับการเล่าเรื่องต่างๆ ช่างคล้ายกันเสียนี่กระไร แต่ก็นะ…เพราะว่าการ์ตูนเรื่องนี้ได้ผู้กำกับที่เคยทำงานอยู่ดิสนีย์มาถ่ายทำหนังเรื่องนี้นี่นา ถ้าไม่ได้กลิ่นอายเลยก็คงจะแปลกๆ ซึ่งสำหรับการ์ตูนเรื่องนี้นั้นองค์ประกอบทุกๆอย่างถือว่าทำออกมาได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว งานภาพสวย แถมเพลงในเรื่องก็ยังเพราะอีกต่างหาก สำหรับใครที่ยังไม่ได้ดูและคิดถึงการ์ตูนดิสนีย์นั้นแอดแนะนำว่าต้องดูการ์ตูนเรื่องนี้เลย เพราะทุกคนจะรู้สึกว่าถูกโอบกอดจากการ์ตูนดิสนีย์อีกครั้งหนึ่งหลังจากที่ห่างหายมานาน ตัวอย่าง หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนัง Netflix เรื่องอื่นๆ เช่น รีวิวหนัง “The Haunting of Bly Manor” (บลายเมเนอร์บ้านกระตุกวิญญาณ) ได้อีกที่ filmograd.net

รีวิว Love and Monsters กับการต่อสู้เพื่อเอาตัวรอดในวันสิ้นโลก

ว่าด้วยเรื่องของหนังที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับวันสิ้นโลกนั้นมีการผลิตออกมาเป็นจำนวนมาก ซึ่งในวันนี้แอดจะก็พาทุกคนมาดูกันอีกเรื่องใน รีวิว Love and Monsters ที่เดิมทีแล้วหนังเรื่องนี้มีชื่อเรื่องว่า “Monster Problems” มาก่อน อีกทั้งยังมีแผนว่าจะออกฉายในโรงภาพยนตร์ตั้งแต่เมื่อวันที่ 06 มีนาคม 2020 แต่เนื่องจากติดสถานการณ์โควิด-19 จึงต้องขอขยับกำหนดฉายออกไปเรื่อยๆ จนในที่สุดทางค่ายหนังก็ตัดสินใจนำมาออกฉายในรูปแบบสตีมมิ่งให้เราได้รับชมกันในวันที่ 16 ตุลาคม ที่ผ่านมานี้เอง ชื่อเรื่อง : “Love and Monsters” แนว : พจญภัย คอมเมดี้ นักแสดง : Dylan O’Brien, Michael Rooker, Ariana Greenblatt, Jessica Henwick บทภาพยนตร์ : Brian Duffield, Matthew Robinson ผู้กำกับ : Michael Matthews ค่าย : Paramount Pictures วันฉาย : 16 ตุลาคม 2020 เวลา : 01 ชั่วโมง 49 นาที IMDb : 7.8 (จากทั้งหมด 2,424) เรื่องย่อ เรื่องราวของโลกที่มีอุกาบาตลึกลับตกลงมาบนโลกมนุษย์ โดยอุกาบาตที่ตกลงมานี้กลับนำพาเชื้อโรคร้ายที่ทำให้สัตว์และแมลงต่างๆ สามารถกลายร่างเป็นปีศาจตัวใหญ่มหึมาได้ ซึ่งมันส่งผลให้มนุษย์ส่วนใหญ่โดนฆ่าตายไปมากกว่าครึ่ง และมนุษย์ส่วนที่เหลือจำต้องหลบภัยอยู่ภายใต้บังเกอร์ใต้ดินเพื่อมีชีวิตรอดปลอดภัย แต่เมื่อ “โจล” (รับบทโดย Dylan O’Brien) ชายหนุ่มวัยรุ่นผู้ที่รอดชีวิตอยู่ภายใต้บังเกอร์นั้นสามารถติดต่อ “เอมมี่” (รับบทโดย Jessica Henwick) แฟนสาวที่ผลัดหลงกันตอนเกิดเหตุได้ ด้วยความรักและความคิดถึง โจลจึงคิดว่าจะไปหาเอมมี่ด้วยตัวคนเดียวให้ได้ ถึงแม้เพื่อนๆภายใต้บังเกอร์เดียวกันจะห้ามเขามากแค่ไหนก็ตาม เขาก็ยังเลือกจะออกไปอยู่ดี รีวิว Love and Monsters สำหรับใครที่กำลังคิดถึงผลงานของ Dylan O’Brien ที่ได้ห่างหายไปจากวงการภาพยนตร์ทันทีหลังจากที่จบหนังภาคต่อสุดฮิตอย่าง “The Maze Runner” นั้น วันนี้เขากลับมาแล้วกับหนังพจญภัยเรื่องใหม่นี้ ซึ่งแอดต้องบอกเลยว่าหนังเรื่องนี้นั้นเป็นหนังที่เราสามารถดูกันได้ทั้งครอบครัวเลย ไม่ว่าจะชาย หญิง เด็ก คนโต ก็สามารถดูได้เลย เพราะว่าหนังเรื่องนี้ไม่ได้มีฉากที่ดุเลือดเลือดพล่านจนน่ากลัวมากนัก โดยหนังเรื่องนี้จะเน้นไปที่เรื่องของความตื่นเต้นที่เราต้องคอยลุ้นตามตัวละครหลักอย่างเดียวเท่านั้นจริงๆ ซึ่งแอดต้องบอกเลยว่าหนังมันสนุกมากจริงๆ มีการดำเนินเรื่องได้อย่างรวดเร็ว ไม่เสียเวลาเลยสักนิด อีกทั้งหนังยังใส่ความตื่นเต้นเข้ามา เพื่อให้ผู้ชมต้องคอยลุ้นตามเกือบตลอดทั้งเรื่องเลยทีเดียว ตัวอย่าง หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนังต่างประเทศเรื่องอื่นๆ เช่น รีวิว เฟคซูสู้เว้ย! (Secret Zoo) หนังที่ผสมผสานสาระและความฮาได้อย่างแนบเนียน ได้อีกที่ filmograd.net