วันนี้จะพาทุกคนมาดู รีวิว เฮ้ย ลูกเพ่ นี่ลูกพ่อ เรื่องนี้กันเลย หลังจากที่เคยมีกระแสถึงความจิ้นระหว่าง โป๊ปและเต๋อมาสักพักก่อนที่หนังจะเข้า อาจจะด้วยความที่ดูแล้วทั้งคู่ดูเข้าขากันเป็นอย่างดี มันก็เลยเป็นเรื่องราวน่ารักๆของทั้งคู่นั่นเอง เอาเป็นว่า เรามาดูกันเลยดีกว่าว่าจะเป็นยังไงบ้าง? ชื่อเรื่อง : “เฮ้ย!ลูกเพ่ นี่ลูกพ่อ” แนว : คอมเมดี้ นักแสดง : โป๊ป -ธนวรรธน์, เต๋อ -ฉันทวิชช์, แซมมี่ เคาวเวลล์ ผู้กำกับ : ภวัต พนังคศิริ ค่าย : ทรานฟอร์เมชั่น ฟิล์ม วันฉาย : 13 ตุลาคม 2020 เวลา : 01 ชั่วโมง 45 นาที เรื่องย่อ เรื่องราวของ “ก๊อต” (รับบทโดย โป๊ป -ธนวรรธน์) ชายหนุ่มนักแข่งรถที่ไม่ค่อยลงรอยกับ “เปรม” (รับบทโดย เต๋อ –ฉันทวิชช์) พ่อของเขามากสักเท่าไร จนในวันหนึ่งก๊อตได้ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์จนทำให้เขาต้องย้อนเวลากลับไปยังปี พ.ศ.2541 หรือ 1 ปีก่อนที่เขาจะเกิดเท่านั้น ซึ่งในการย้อนเวลาครั้งนั้นก๊อตได้พบกับพ่อของเขาในวัยที่เป็นวัยรุ่น อีกทั้งพ่อของเขายังเป็นหัวหน้าแก๊งค์หรือหัวโจกในสมัยนั้นอีกด้วย แถมก๊อตยังมาตกหลุมรักผู้หญิงคนเดียวกันกับพ่อของเขาอย่าง “บิว” (รับบทโดย แซมมี่ เคาวเวลล์) หรือแม่ของเขาในปัจจุบันอีกด้วย นั่นทำให้ก๊อตต้องพยายามจีบบิวแข่งกับพ่อของเขาเองซะอย่างนั้น รีวิว เฮ้ย ลูกเพ่ นี่ลูกพ่อ ต้องเรียกได้ว่าค่อนข้างคาดหวังกับหนังเรื่องนี้เอาไว้มากเลยทีเดียว ด้วยเนื้อเรื่องที่น่าสนใจ และตัวอย่างหนังที่ทำออกมาเชิญชวนให้คนดูอย่างเราอยากเสียเงินเข้าไปดูมากๆ แล้วไหนจะเรื่องของผลงานการผลิตของใหม่-ภวัต เจ้าของผลงานละครที่โด่งดังไปทั่วประเทศอย่างเรื่อง “บุพเพสันนิวาส” อีก ทั้งหมดนี้มันยิ่งตอกย้ำเข้าไปใหญ่ว่า เราควรเสียเงินเข้าไปดูในโรงภาพยนตร์ให้ได้ แต่หลังจากที่ได้ดูแล้ว คือถ้าหากเราดูเพื่อความบันเทิง ไม่ได้อยากได้พล็อตเรื่องอะไรที่มันน่าตื่นเต้นมากนัก ก็สามารถดูได้อย่างเพลินๆ ดูได้เรื่อยๆ แต่แอดว่าในเรื่องของโลเคชั่น หรือยานพาหนะต่างๆนั้นมันไม่เหมือนปี พ.ศ.2541 อย่างที่ควรจะเป็น แต่มันเหมือนว่าจะย้อนไปไกลกว่านั้นอีกเยอะมากเลย ต้องเรียกได้ว่าหนังเรื่องนี้ถ้าไม่มีโป๊ปกับเต๋อก็น่าจะดับไปแล้วล่ะ เพราะเต๋อกับโป๊ปนั้นถือได้ว่าเป็นสเน่ห์อย่างเดียวในหนังเรื่องนี้เลย ตัวอย่าง หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนังไทยเรื่องอื่นๆ เช่น รีวิว แฟนเดย์…แฟนกันแค่วันเดียว พร้อมเฉลยตอนจบอีกแบบที่หนังไม่ได้นำเสนอ ได้อีกที่ filmograd.net
โอ้ย…ต้องเรียกได้ว่าแอดใจแอดมากๆ สำหรับแอดที่เป็นแฟนคลับซีรี่ย์ผีหลอนๆอย่างเรื่อง “The Haunting of Hill House” ที่ในวันนี้ทางทีมผู้สร้างและนักแสดงชุดเดิมมีการยกขบวนมาสร้างซีรีย์สุดสยองขวัญในบ้านหลังใหม่กันใน “The Haunting of Bly Manor” (บลายเมเนอร์บ้านกระตุกวิญญาณ) ซึ่งแน่นอนเลยว่าแฟนคลับอย่างแอดมีหรือจะพลาดซีรี่ย์เรื่องนี้ ชื่อเรื่อง : “TheHaunting Of Bly Manor” (บลายเมเนอร์บ้านกระตุกวิญญาณ) แนว : สยองขวัญ โรแมนติก ดราม่า นักแสดง : Victoria Pedretti, Oliver Jackson-Cohen, Amelia Eve, T’Nia Miller, Rahul Kohli, Tahirah Sharif, Amelie Bea Smith, Benjamin Evan Ainsworth, Henry Thomas ผู้สร้าง : Mike Flanagan ค่าย : Netflix วันฉาย : 09 ตุลาคม 2020 จำนวนตอน : 9 ตอน IMDb : 7.6 (จากทั้งหมด 26,894 โหวต) เรื่องย่อ เรื่องราวของ “แดนี เครย์ตัน” (รับบทโดย Victoria Pedretti) หญิงสาวชาวอเมริกันที่ได้งานเป็นพี่เลี้ยงเด็ก 2 คนอย่าง “ไมล์” (รับบทโดย Benjamin Evan Ainsworth) พี่ชายวัย 10 ขวบที่เพิ่งถูกเชิญออกจากโรงเรียนประจำ และ “ฟลอร่า” (รับบทโดย Amelie Bea Smith) น้องสาวที่มีพฤติกรรมแปลกประหลาดอย่าง การคุยกับใครสักคนที่มองไม่เห็น โดยแดนีจะต้องไปอาศัยกิน-นอนที่ “บลายเมอเนอร์” คฤหาสน์โบราณใหญ่โตที่เด็กทั้ง 2 คนนี้อาศัยอยู่เลย ซึ่งในคฤหาสน์แห่งนี้ยังมี “มิสซิสโกรส” (รับบทโดย T’Nia Miller) แม่บ้านเก่าแก่ของคฤหาสน์ , “โอเว่น” (รับบทโดย Rahul Kohli) พ่อครัวสุดแสนใจดี และ “เจมี่” (รับบทโดย Amelia Eve) สาวชาวสวนอีกด้วย และในการมาของแดนีครั้งนี้ทำให้เธอต้องพบเจออะไรแปลกประหลาดที่อาจเปลี่ยนชีวิตเธอไปตลอดกาล รีวิว The Haunting of Bly Manor บอกได้คำเดียวว่า สนุกมากค่ะคุณผู้อ่านทั้งหลาย แอดต้องบอกก่อนเลยว่า ถ้าใครที่เป็นแฟนคลับซีรี่ย์ภาคก่อนอย่าง “The Haunting of Hill House” แล้วนั้น คุณต้องดูซีรี่ย์ภาคนี้ต่อเลย ถึงแม้เนื้อเรื่องมันจะไม่ใช่ภาคต่อ แถมยังเป็นโครงเรื่องใหม่เลยก็ตาม แต่ถ้าคุณได้ดูแล้วจะมีความรู้สึกเหมือนเราเข้าได้ไปอยู่ในภวังหนังเรื่องนี้อีกครั้ง เพราะสไตล์การเล่าเรื่อง รวมทั้งตัวนักแสดงเองก็ยังเป็นนักแสดงชุดเดิมจากภาคแรกอีกด้วย นั่นทำให้บรรยากาศมันเหมือนเราได้ดูฮิลเฮ้าท์อีกรอบ แต่คนละเนื้อเรื่องกันแค่นั้นเอง ซีรี่ย์ภาคต่อเรื่องนี้จะเป็นการนำเสนอเรื่องราวของผีออกมาในรูปแบบใหม่ๆ ซึ่งมันอาจจะไม่ได้หลอนเท่าภาคแรก แถมผียังออกมาน้อยอีกต่างหาก เนื่องจากว่าซีรี่ย์เรื่องนี้จะเน้นไปที่เรื่องราวดราม่าซะมากกว่า แต่มันก็เป็นดราม่าที่ดูแล้วสนุกไม่มีเบื่อเลย ซึ่งถ้าหากใครที่หวังว่าจะได้ดูซีรี่ย์หลอนๆตามสไตล์ภาคแรกนั้น เรื่องนี้อาจจะทำให้คุณผิดหวังก็เป็นได้ เพราะในภาคนี้จะให้อารมณ์เหมือนเราดูหนังดราม่าที่มีผีเป็นฉากประกอบซะมากกว่า แต่ถ้าใครที่ไม่ได้คาดหวังว่ามันจะหลอนเหมือนในภาคแรก และเลือกที่จะดูภาคนี้เพราะชื่นชอบผลงานของทีมงานสร้างเดิมนั้น แอดต้องบอกให้คุณหามาดูให้ได้เลย เพราะถึงแม้มันจะไม่ได้หลอนเท่าภาคแรกนั้น แต่ในด้านดราม่าของภาคนี้ที่ทางทีมสร้างต้องการนำเสนอนั้นก็ถือว่าทำออกมาได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว ตัวอย่าง หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนัง Netflix เรื่องอื่นๆ เช่น รีวิว Hubie Halloween (ฮูบี้ ฮาโลวีน) ไปกับการสุขสันต์วันปล่อยผี ได้อีกที่ filmograd.net
อ่ะ…ไหนๆก็มาทางแนววันคริสต์มาสแล้ว ก็เอาให้มันเต็มที่อีกเรื่องหนึ่งกับหนังเรื่อง “The Christmas Chronicles” (ผจญภัยพิทักษ์คริสต์มาส) จากทีมผู้สร้างเดียวกันกับ “แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับศิลาอาภรรพ์” และ “โดดเดี่ยวผู้น่ารัก” ที่สามารถทำผลงานออกมาได้อย่างโดดดังไปแล้วนั่นเอง เอาเป็นว่าเราไปดูกันเลยดีกว่าว่ามันจะเป็นยังกันบ้าง ชื่อเรื่อง : “TheChristmas Chronicles” (ผจญภัยพิทักษ์คริสต์มาส) แนว : พจญภัย แฟนตาซี นักแสดง : Kurt Russell, Judah Lewis, Darby Camp, Lamorne Morris, Kimberly Williams-Paisley, Oliver Hudson, Goldie Hawn, Martin Roach, Vella Lovell บทภาพยนตร์ : Matt Lieberman ผู้กำกับ : Clay Kaytis ค่าย : Netflix วันฉาย : 22 พฤศจิกายน 2018 เวลา : 01 ชั่วโมง 44 นาที IMDb : 7.1 (จากทั้งหมด 43,147 โหวต) เรื่องย่อ คืนวันคริสต์มาสในครอบครัวหนึ่งที่ต้องอยู่กันตามลำพัง 2 คนพี่น้องอย่าง “เท็ดดี้ ไพร์” (รับบทโดย Judah Lewis) พี่ชายในวัย 16 ปี และ “เคท ไพร์” (รับบทโดย Darby Camp) น้องสาววัย 11 ปีผู้ที่คาดหวังว่าจะมีซานต้ามาให้ของขวัญในวันคริสต์มาสที่จะถึงนี้ ซึ่งทั้งคู่นั้นมักจะเป็นคู่พี่น้องที่ทะเลาะกันเป็นประจำเลย แต่ในขณะที่พวกเขากำลังทะเลาะกันอยู่นั้น พวกเขาก็ได้ยินเสียงเดินเกิดขึ้นภายในบ้านของพวกเขาเอง ทั้งคู่จึงได้วิ่งออกไปดูและพบว่าซานตาครอสกำลังลอยอยู่ตรงหน้าของพวกเขาทั้งคู่นั่นเอง ซึ่งเคทได้นึกสนุกจึงปีนขึ้นไปบนรถของซานต้าคลอส เท็ดดี้เห็นว่าท่าไม่ดีแล้ว จึงได้ปีนตามน้องสาวขึ้นไปด้วย ในขณะเดียวกันเองซานต้าก็ออกแจกของขวัญตามบ้านต่างๆและออกรถขึ้นบินไปตามปกติ แต่หลังจากนั้นเคทรู้สึกหนาวจึงไปสกิดซานต้า นั่นทำให้ซานต้าตกใจจนรถนั่งของเขาเสียหลักจนพัง อีกทั้งถุงของขวัญที่ต้องเอาไปแจกและหมวกวิเศษของซานต้าก็ยังหายไปตอนที่รถเสียหลักอีกด้วย ซึ่งนั่นทำให้พลังวิเศษของซานตาหายไปพร้อมกับหมวกในทันทีเลยทีเดียว พวกเขาจะทำอย่างไรต่อไปในเมื่อซานต้ากลายเป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งไปซะอย่างนั้น รีวิว The Christmas Chronicles หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่บอกเล่าเรื่องราวความสัมพันธ์ของพี่น้องได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว ถึงแม้จะเป็นพี่น้องที่ไม่เข้าขา หรือเป็นพี่น้องที่ทะเลาะกันบ่อยๆก็ตาม ยังไงแล้วพี่น้องก็คือพี่น้องที่ไม่สามารถตัดกันได้ขาดหรอก อย่างในหนังเรื่องนี้ที่บอกเอาไว้ว่า ถึงแม้พี่ชายจะเป็นพี่ที่ดูไม่ได้ความ ไม่น่าพึ่งพาอะไรได้ แต่ในช่วงเวลาคับขันจริงๆ คนที่เป็นพี่ชายนี่แหละที่พร้อมจะปกป้องน้องสาวของเขาทุกวิถีทาง อีกทั้งภายใต้อุปสรรคที่พวกเขาต้องเผชิญร่วมกันนั้น ยังทำให้พวกเขาเข้าอกเข้าใจกันมากขึ้นอีกต่างหาก เอาเป็นว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ดูได้แบบเพลินๆ และยังช่วยคลายเครียดได้ดีอีกด้วย ตัวอย่าง หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนัง Netflix เรื่องอื่นๆ เช่น รีวิว Vampires VS The Bronx (แวมไพร์ บุกบรองซ์) หนังเด็กที่ต้องมาสู้กับแวมไพร์ได้อีกที่ filmograd.net
ต้องยอมรับเลยว่า Netflix นั้นผลิตหนังรักที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับวันคริสต์มาสเยอะมากๆ และในวันนี้แอดจะพาทุกคนมาดูอีกเรื่องหนึ่งกันใน รีวิว The Knight Before Christmas (อัศวินก่อนวันคริสต์มาส) กันเลย ต้องบอกก่อนเลยว่าเรื่องราวของหนังเรื่องนี้มันอาจจะไม่ได้แปลกใหม่ หรือแปลกตามากนัก แต่ก็ถือได้ว่าเป็นหนังที่น่ารักพอตัวเลยล่ะ ชื่อเรื่อง : “The Knight BeforeChristmas” (อัศวินก่อนวันคริสต์มาส) แนว : โรแมนติก นักแสดง : Vanessa Hudgens, Josh Whitehouse, Emmanuelle Chriqui บทภาพยนตร์ : Cara J. Russell ผู้กำกับ : Monika Mitchell ค่าย : Netflix วันฉาย : 21 พฤศจิกายน 2019 เวลา : 01 ชั่วโมง 32 นาที IMDb : 5.5 (จากทั้งหมด 12,352 โหวต) เรื่องย่อ เรื่องราวของ “เซอร์โคล” (รับบทโดย Josh Whitehouse) อัศวินหนุ่มสุดหล่อจากยุคกลางที่กำลังจะขี่ม้ากลับไปที่ปราสาท โดยในระหว่างทางนั้นเขาได้เจอเข้ากับหญิงเฒ่าคนหนึ่งที่หลบอยู่หลังต้นไม้ด้วยอาการหนาวสั่นท่ามกลางหิมะ ด้วยความเป็นห่วงเซอร์โคลจึงเสนอความช่วยเหลือพาหญิงเฒ่าไปยังที่ที่ปลอดภัย แต่หญิงเฒ่าได้บอกว่าเซอร์โคลว่า เขาจะต้องเดินทางไปยังที่ที่ไกลแสนไกล พร้อมกับมอบภารกิจปริศนาให้เซอร์โคลทำให้สำเร็จลุล่วงก่อนเที่ยงคืนวันคริสต์มาส อีกทั้งยังมอบลูกแก้วเปร่งแสงให้กับเขาอีกด้วย แต่ทันใดนั้นเองเซอร์โคลก็มาปรากฏตัวอยู่ที่โอไฮโอ ยุคปัจจุบัน พร้อมกับบรรยากาศที่เขาไม่คุ้นเคยมาก่อน รีวิว The Knight Before Christmas (อัศวินก่อนวันคริสต์มาส) อย่างที่แอดเกริ่นไปตอนแรกนั้นว่าหนังเรื่องนี้จะเป็นพล็อตเรื่องเดิมๆ ไม่มีอะไรแปลกใหม่ แต่มันก็เป็นหนังที่เราสามารถดูได้แบบเพลินๆ ดูแล้วมันก็น่ารักไปอีกแบบหนึ่งนะ โดยหนังเรื่องนี้เหมาะกับการดูพร้อมกับครอบครัว หรือจะดูกับแฟนก็ฟินสุดๆเลยล่ะ ซึ่งหลังจากที่แอดได้ดูแล้วแอดก็ยังอดอมยิ้มกับความเปิ่นๆของพระเอกของเราไม่ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นคำศัพท์เชยๆที่เขาเคยใช้ในยุคกลาง หรือแม้แต่การกระทำที่แปลกๆของพระเอกในเวลาที่เจออุปกรณ์ล้ำสมัยในปัจจุบันนั่นเอง เอาเป็นว่าสำหรับใครที่กำลังมองหาหนังรักเบาๆสบายสมอง จะเลือกดูหนังเรื่องนี้ก็ได้นะ แอดว่าตัวหนังมันน่ารักในระดับหนึ่งเลย ตัวอย่าง หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนังNetflix เรื่องอื่นๆ เช่น รีวิว The Last Summer กับหนังรักที่จะชวนให้คุณคิดถึงวัยเรียนเป็นอย่างมาก ได้อีกที่ filmograd.net
ว่าด้วยเรื่องราวของหนังที่เคยเป็นกระแสที่โด่งดัง และสามารถครองแชมป์ทำรายได้ในสหรัฐอเมริกาได้ทั้งจอเล็กและจอใหญ่อย่างเรื่อง “Crazy Rich Asians” (เครซี่ ริช เอเชี่ยนส์ เหลี่ยมโบตัน) นี้นั้น ถือได้ว่าเป็นปรากฏการณ์ที่สร้างความภาคภูมิใจให้กับคนเอเชียเราเป็นอย่างมาก อีกทั้งหนังเรื่องนี้ยังมีเค้าโครงมาจากนิยายเรื่อง “CrazyRich Asians” ที่เขียนโดย Kevin Kwan อีกด้วย เอาเป็นว่าเรามาดูกันเลยดีกว่าว่าหนังเรื่องนี้มันมีดียังไงกันนะ ชื่อเรื่อง : “Crazy RichAsians” (เครซี่ ริช เอเชี่ยนส์ เหลี่ยมโบตัน) แนว : โรแมนติก คอมเมดี้ นักแสดง : Constance Wu, Henry Golding, Gemma Chan, Lisa Lu, Awkwafina, Ken Jeong, Michelle Yeoh บทภาพยนตร์ : Peter Chiarelli, Adele Lim ผู้กำกับ : Jon M. Chu ค่าย : Warner Bros. Pictures วันฉาย : 15 สิงหาคม 2018 เวลา : 02 ชั่วโมง 01 นาที IMDb : 6.9 (จากทั้งหมด 135,143 โหวต) เรื่องย่อ เรื่องราวของ “เรเชล ชู” (รับบทโดย Constance Wu) อาจารย์สาวลูกครึ่งเชื้อสายอเมริกัน-จีนสอนเศรษฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งต้องเดินทางไปร่วมงานแต่งเพื่อนสนิทของ “นิค ยัง” (รับบทโดย Henry Golding) แฟนหนุ่มของเธอที่ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งหลังจากที่เธอได้เดินทางไปพบกับครอบครัวของนิกแล้วนั้น เธอกลับพบว่าแฟนหนุ่มของเธอมีฐานะร่ำรวยเข้าขั้นเศรษฐีอันดับต้นๆของประเทศสิงคโปร์อีกด้วย และการคบหากับนิคในครั้งนี้ทำให้เธอต้องตกเป็นเป้าหมายของสังคมรอบๆ เพราะความอิจฉานั่นเอง แต่ที่แย่ยิ่งกว่านั้นนั่นก็คือ “เอลิเนอร์ ยัง” (รับบทโดย Michelle Yeoh) แม่ของนิก ยังไม่ชอบเธอเอามากๆอีกด้วย รีวิว Crazy Rich Asians สำหรับคนไทยอย่างเราถ้าได้ดูหนังเรื่องนี้อาจจะมีความรู้สึกว่า หนังมันว้าวตรงไหนกันนะ ทำไมอเมริกาถึงได้ฮิตแล้วถูกพูดถึงเป็นอย่างมากในช่วงนั้น ซึ่งหนังเรื่องนี้มันอาจจะเป็นพล็อตหนังที่ออกไปในทางแนวหนังน้ำเน่าที่คนไทยเราคุ้นชินมันเป็นอย่างดีนั่นเอง แต่ทางอเมริกาเขาไม่ได้มีหนังแนวๆนี้มากเหมือนบ้านเราไง เพราะทางฮอลลีวูดของบ้านเขาจะเน้นไปที่การทำหนังแนวซุปเปอร์ฮีโร่หรือหนังแฟนตาซีนอกโลกกันซะเป็นส่วนใหญ่เลย มันก็เลยอาจจะเป็นจุดขายที่ดีของหนังเรื่องนี้เลยก็เป็นได้ เอาเป็นว่าสำหรับหนังเรื่องนี้นะ แอดว่าเราสามารถดูได้แบบเพลินๆอยู่นะ คู่พระ-นางก็น่ารัก เคมีเข้ากันสุดๆเลย ตัวอย่าง หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนังต่างประเทศเรื่องอื่นๆ เช่น รีวิว The Meg (เม็ก โคตรหลามพันล้านปี) กับฉลามยักษ์ในยุคดึกดำบรรพ์ ได้อีกที่ filmograd.net
จะเป็นไปได้ไหม? ที่เราจะสามารถปกป้องตัวเองจากฝันร้ายต่างๆได้ เพราะในบางทีการที่เราฝันร้ายบ่อยๆนั้น มันก็อาจจะทำให้เราจิตตกจนอาจจะเสียการเสียงานหรืออื่นๆไปโดยใช่เหตุได้ แต่ก็แน่นอนแหละว่ามันทำแบบนั้นไม่ได้ไง เราสามารถทำได้เพียงอย่างเดียวนั่นก็คือ อย่าไปจิตตกกับเรื่องราวความฝันต่างๆให้มากมายนัก ซึ่งในวัยผู้ใหญ่แบบเราแล้วก็อาจจะพอทำได้อยู่หรอกนะ แต่ถ้าคนที่ฝันร้ายนั้นเป็นเด็กๆล่ะ เขาจะสามารถรับมือกับเรื่องราวแบบนี้ได้หรือไม่ และถ้าเรารักเด็กคนนั้นด้วยแล้วล่ะก็ เราก็ต้องอยากปกป้องเขาอยู่แล้วอย่างใน รีวิว คู่มือล่าปีศาจ ฉบับพี่เลี้ยง (A Babysitter’s Guide To Monster Hunting) นั่นเอง ชื่อเรื่อง : “คู่มือล่าปีศาจ ฉบับพี่เลี้ยง” (A Babysitter’s Guide To Monster Hunting) แนว : นักแสดง : Tom Felton, Oona Laurence, Tamara Smart, Ian Ho, Tamsen McDonough บทภาพยนตร์ : Joe Ballarini ผู้กำกับ : Rachel Talalay ค่าย : Netflix วันฉาย : 15 ตุลาคม 2020 เวลา : 01 ชั่วโมง 38 นาที IMDb : 6.7 (จาก 12 โหวต) เรื่องย่อ เรื่องราวของ “เคลลี่ เฟอร์กูสัน” (รับบทโดย Tamara Smart) สาวน้อยที่ได้รับขนานนามว่า “ยัยเด็กมอนสเตอร์” เพราะเธอเคยไปเล่าให้คนอื่นฟังว่า ในสมัยเด็กว่ามีพวกมอนสเตอร์คอยจ้องจะทำร้ายเธออยู่ ซึ่งนั่นมันก็ทำให้เธอถูกมองว่าเธอสติไม่ดี แล้วก็โดนล้อเลียนมาโดยตลอด จนในวันหนึ่งรุ่นพี่ที่โรงเรียนได้ประกาศเชิญชวนทุกคนเข้าร่วมปาร์ตี้วันฮาโลวีนที่บ้านของเขา ซึ่งเคลลี่ก็หวังว่าจะเข้าร่วมปาร์ตี้นี้ด้วย แต่เธอกลับต้องไปเป็นพี่ลี้ยงเด็กให้กับลูกชายของเจ้านายแม่เธอแทน เพราะเจ้านายแม่เธอจะออกไปปาร์ตี้คืนวันฮาโลวีนนั่นเอง ซึ่งในการไปเป็นพี่เลี้ยงเด็กของเธอครั้งนี้ทำให้เธอต้องเผชิญกับเรื่องราวสุดแปลกประหลาด ที่นอกจากว่าเธอจะต้องคอยปกป้องเด็กน้อยคนนั้นจากอันตรายต่างๆแล้วเธอยังต้องคอยปกป้องเด็กน้อยจากฝันร้ายอีกด้วย รีวิว คู่มือล่าปีศาจ ฉบับพี่เลี้ยง (A Babysitter’s Guide To Monster Hunting) ต้องออกตัวก่อนเลยว่าหนังเรื่องนี้มันเป็นหนังสำหรับเด็ก ที่เรื่องที่เครียดที่สุดในวัยเด็กก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของความฝันกันหรอกใช่ไหม เพราะในบางทีการที่เรายังเป็นเด็กนั้นก็อาจจะไม่สามารถแยกแยะเรื่องราวของความจริงหรือความฝันได้หรอกใช่ไหม ซึ่งในหนังเรื่องนี้สามารถบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับฝันร้ายได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว นักแสดงหลักก็ยังคงเป็นนักแสดงเด็กๆกันอยู่เลย แต่ฝีมือการแสดงของน้องๆนี่ไม่เด็กเลยนะ เรียกได้ว่าแสดงได้ดีจนแอดอดอินตามไม่ได้เลย ถึงแม้จะมีบางช่วงที่ดูแล้วขัดหูขัดตาไปบ้าง แต่มันก็ไม่ได้น่าเกียจจนถึงขนาดน่าเบื่อ เพราะว่าเราสามารถมองข้ามมันได้อย่างง่ายๆเลยทีเดียว อีกทั้งในเรื่องนี้ยังมีสัตว์ประหลาดที่หน้าตาน่าเกียจน่ากลัวในระดับที่ถ้าหากเด็กดูก็สามารถรับได้อย่างง่ายๆเลย ซึ่งแอดคิดว่าหนังเรื่องนี้เด็กๆน่าจะชื่นชอบกันเป็นอย่างมากเลยแหละ ตัวอย่าง หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนัง Netflix เรื่องอื่นๆ เช่น รีวิว ครอบครัวข้างบ้าน (American Murder: The Family Next Door) ได้อีกที่ filmograd.net
หากจะพูดหนังจากสัญชาติเม็กซิโกนั้น ก็ต้องบอกเลยว่าเดี๋ยวนี้เขาสามารถสร้างหนังออกมาตีตลาดและทำชื่อเสียงได้หลายเรื่องเลยทีเดียว ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็เป็นหนังที่สามารถดูได้แบบง่ายๆ เข้าถึงได้อย่างหลากหลายช่วงวัย และในวันนี้แอดจะพาทุกคนมาดูหนังของประเทศนี้กันอีกเรื่องกับ รีวิว คุณพ่อตัวสำรอง (You’ve Got This) กันเลย ชื่อเรื่อง : “คุณพ่อตัวสำรอง” (You’ve Got This) แนว : โรแมนติก คอมเมดี้ นักแสดง : Tato Alexander, Moisés Arizmendi, Fernando Becerril บทภาพยนตร์ : Tiaré Scanda, Leonardo Zimbrón ผู้กำกับ : Salvador Espinosa ค่าย : Netflix วันฉาย : 02 ตุลาคม 2020 เวลา : 01 ชั่วโมง 51 นาที IMDb : 5.6 (จาก 437 โหวต) เรื่องย่อ เรื่องราวของ “อเลฮานโดร” (รับบทโดย Moisés Arizmendi) หนุ่มครีเอทีฟและ “ซิเซเลีย” (รับบทโดย Tato Alexander) สาวสวยที่กำลังประสบความสำเร็จ โดยทั้งคู่ได้แต่งงานและอยู่ด้วยกันมา 7 ปีแล้ว ซึ่งพวกเขาได้ใช้ชีวิตคู่กับอย่างหวานชื่นมาเสมอ จนในวันหนึ่งอเลฮานโดรก็อยากเป็นพ่อคนขึ้นมา จึงได้ชวนซิเซเลียมีลูกด้วยกัน แต่เนื่องจากซิเซเลียกำลังจะประสบความสำเร็จในด้านการงาน เธอจึงยังไม่อยากมีลูกมาขัดขวางความสำเร็จของเธอ อีกทั้งเธอยังไม่เคยคิดว่าอยากจะมีลูกด้วยซ้ำ แต่แล้วก็เหมือนฟ้าจะเล่นตลกกับเขา เพราะอเลฮานโดรดันไปรับปากสาวเสิร์ฟในบาร์แห่งหนึ่ง ว่าจะดูแลลูกของเธอให้ 3 วัน เพราะเธอต้องไปทำธุระที่อื่น นั่นทำให้อเลฮานโดรต้องรับบทเป็นคุณพ่อโดยจำเป็นไปในทันที แต่ในขณะเดียวกันนั้นเขาก็มีปัญหากับซิเซเลีย ในเรื่องของความคิดที่ไม่ตรงกันอีกด้วย รีวิว คุณพ่อตัวสำรอง (You’ve Got This) หนังเรื่องนี้นั้นเน้นไปที่เรื่องราวของความขัดแย้งทางความคิดของคู่รักเป็นหลักในเรื่องของการมีลูก ซึ่งจะเห็นได้ชัดจากสังคมในสมัยนี้ที่มีอยู่มากพอสมควรเลยทีเดียว ซึ่งในส่วนของการเล่าเรื่องนั้นก็ถือได้ว่าสมเหตุสมผล เหมือนเราเข้าไปนั่งอยู่ในตัวของนักแสดงหลักเลย เพราะว่านักแสดงหลักทั้ง 2 คนสามารถเล่นเข้าขากันได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว โดยรวมแล้วหนังเรื่องนี้เราสามารถนั่งดูมันได้แบบเพลินๆ ก็น่ารักไปอีกแบบ ตัวอย่าง หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนัง Netflix เรื่องอื่นๆ เช่น รีวิว ครอบครัวข้างบ้าน (American Murder: The Family Next Door) ได้อีกที่ filmograd.net
สำหรับใครที่กำลังมองหาหนังเบาๆสบายสมอง แต่ก็ยังแอบแฝงไปด้วยความตลกนั้น แอดขอแนะนำให้ดู รีวิว เฟคซูสู้เว้ย! (Secret Zoo) เรื่องนี้เลย โดยหนังเรื่องนี้นั้นมีเค้าโครงเรื่องมาจาก Webtoon เรื่อง “I Don’t Bully You” ที่เขียนโดย Hun อีกด้วย อีกทั้งหนังเรื่องนี้ยังถือได้ว่าเป็นหนังยอดฮิตที่ขึ้นชาร์จอันดับ 1 ของเกาหลีได้อย่างเต็มภาคภูมิเลยทีเดียว เอาเป็นว่าเราได้ดูกันเลยดีกว่าว่ามันจะเป็นยังไงกันบ้าง ชื่อเรื่อง : “Secret Zoo” (เฟคซูสู้เว้ย!) แนว : คอมเมดี้ นักแสดง : Ahn Jae-hong, Kang So-ra, Park Yeong-gyu, Kim Sung-oh, Jeon Yeo-been บทภาพยนตร์ : Son Jae-gon, Lee Yong-jae, Kim Dae-woo ผู้กำกับ : Son Jae-gon ค่าย : Acemaker Movieworks วันฉาย : 15 มกราคม 2020 เวลา : 01 ชั่วโมง 57 นาที IMDb : 6.2 (จาก 610 โหวต) เรื่องย่อ เรื่องราวของ “คังแทซู” (รับบทโดย Ahn Jae-hong) ทนายน้องใหม่ของบริษัทที่ปรึกษาทางกฏหมายชื่อดังของเกาหลีใต้ โดยแทซูต้องการที่จะก้าวหน้าในหน้าที่การงานของตนเอง หวังเพื่อขึ้นเป็นพนักงานประจำของบริษัทให้ได้ จนในวันหนึ่งโอกาสของเขาก็มาถึง ในเมื่อหัวหน้าของเขามอบหมายงานให้เขาเพื่อพิสูจน์ตนเอง โดยเขาต้องไปบริหารฟื้นฟูสวนสัตว์ที่กำลังจะเจ๊งให้กลับมามีมูลค่ามากกว่าเดิมให้ได้ภายใน 3 เดือนนี้ แต่เมื่อแทซูไปถึงสวนสัตว์แล้วกลับพบว่ามีเพียงหมีขั้วโลกตัวเดียวและพนักงานอีก 4 คนเท่านั้นที่ยังอยู่ที่สวนสัตว์แห่งนี้ แต่ในเมื่อสวนสัตว์มันไม่มีสัตว์ให้ลูกค้ามารับชม แทซูจึงคิดแผนการประหลาดๆอย่างให้พนักงานใส่ชุดสัตว์เข้าไปอยู่ในกรง เพื่อตบตาผู้ชมที่ซื้อตั๋วเข้ามารับชมสัตว์นั่นเอง รีวิว เฟคซูสู้เว้ย! (Secret Zoo) เริ่มด้วยเรื่องราวของหนังช่วงแรกนั้นมีการปูพื้นฐานของตัวเอกของเราอยู่มากพอควรเลยว่า เขามีพื้นฐานอย่างไร และทำไมถึงได้ตกกระไดพลอยโจรมาเป็นผู้บริหารสวนสัตว์แห่งนี้ได้ เรียกได้ว่าหลังจากที่ผ่านช่วงนั้นมาแล้วเริ่มเข้าสู่การดำเนินการบริหารงานที่สวนสัตว์ของเขาแล้วนั้นมันเต็มไปด้วยความฮาที่แทรกอยู่ทุกหย่อมหญ้าจริงๆ อีกทั้งหนังเรื่องนี้ยังมีการเน้นไปที่เรื่องระบบสิ่งแวดล้อมได้อย่างแนบเนียน ไม่น่าเกลียดจนดูแล้วน่าเบื่อเลย เรียกได้ว่าหนังเรื่องนี้มีทั้งสาระและความฮาผสมกันมาได้อย่างลงตัวเลยทีเดียว ตัวอย่าง หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนังต่างประเทศเรื่องอื่นๆ เช่น รีวิว The Last Summer กับหนังรักที่จะชวนให้คุณคิดถึงวัยเรียนเป็นอย่างมาก ได้อีกที่ filmograd.net
ว่าด้วยเรื่องราวของเทคโนโลยีสมัยนี้นี่ล้ำสมัยขึ้นทุกๆวันเลยทีเดียว แถมระบบ AI เองนั้นก็ยังเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของเราเป็นอย่างมาก อย่างในวันนี้แอดจะพาทุกคนมาดูหนังที่มีการนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาฝังเอาไว้ในร่างกายของมนุษย์เพื่อผลประโยชน์อะไรสักอย่างอย่าง รีวิว Upgrade นั่นเอง ชื่อเรื่อง : “Upgrade” แนว : เทคโนโลยีแอคชั่น นักแสดง : Logan Marshall-Green, Betty Gabriel, Harrison Gilbertson บทภาพยนตร์ : Leigh Whannell ผู้กำกับ : Leigh Whannell ค่าย : OTL Releasing, BH Tilt วันฉาย : 01 มิถุนายน 2018 เวลา : 01 ชั่วโมง 40 นาที IMDb : 7.5 (จาก 151,603 โหวต) เรื่องย่อ เรื่องราวของ “เกรย์” (รับบทโดย Logan Marshall-Green) นักซ่อมรถคนหนึ่งที่ภรรยาของเขาถูกร้ายจนเสียชีวิต ส่วนตัวเขาเองนั้นก็พิการจนเป็นอัมพาตทั้งตัว ซึ่งเขาต้องใช้ชีวิตอยู่บนรถเข็นมาโดยตลอด จนในวันหนึ่งเขาจำใจต้องเข้าร่วมการทดลองฝัง “สเต็ม” โปรแกรมคอมพิวพ์ลงบนคอของเขา เพื่อหวังว่าเขาจะสามารถกลับมาเดิน หรือสามารถกลับมาใช้ชีวิตเป็นปกติได้อีกครั้ง แต่หลังจากที่เขาได้ฝังสเต็มลงบนคอแล้วนั้น เรื่องราวมันกลับไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เพราะสเต็มนั้นมันเข้ามาควบคุมร่างกายของเขาได้อย่างเต็มที่ โดยที่เขาไม่สามารถควบคุมร่างกายของตนเองได้เลย อีกทั้งสเต็มที่ฝังอยู่ที่คอของเขานั้นยังสั่งการให้เขาตามหาตัวและล้างแค้นคนที่ฆ่าภรรยาของเขาอีกด้วย รีวิว Upgrade โอ้ย…หนังอย่างดีเลย ฉากแอคชั่นนี่ดุเดือดเลือดพล่านมาก ฉากแอคชั่นนี่แสดงให้เรารู้ได้เลยว่า มันเป็นการสู้ของหุ่นยนต์จริงๆ เพราะการต่อสู้นี้มันไม่ได้มีการเคลื่อนไหวที่เป็นธรรมชาติเหมือนมนุษย์เท่าไรนัก ซึ่งมันเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของหนังเรื่องนี้ที่เรียกได้ว่า เก็บได้ทุกรายละเอียดเลยจริงๆ อีกทั้งพล็อตเรื่องหรือเนื้อเรื่องนั้นยังทำออกมาได้เป็นอย่างดีอีกต่างหาก อย่างในตอนที่เฉลยเบื้องหลังของเรื่องทั้งหมดนี้มันทำให้แอดต้องอุทานว่า “หื้อหือ” ได้เลยจริงๆ แถมหนังเรื่องนี้ยังได้ผู้กำกับอย่าง Leigh Whannell เจ้าของผลงานการกำกับหนังเรื่อง “Saw” มากำกับหนังเรื่องนี้อีกด้วย ตัวอย่าง หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนังต่างประเทศเรื่องอื่นๆ เช่น รีวิว The Last Summer กับหนังรักที่จะชวนให้คุณคิดถึงวัยเรียนเป็นอย่างมาก ได้อีกที่ filmograd.net
ว่าด้วยเรื่องราวของการต่อสู้กับฉลาม ไม่ว่าจะเป็นการสู้เพื่อเอาชีวิตรอด หรือการสู้เพื่ออะไรก็แล้วแต่ ยังไงแล้วมันก็ยังคงเป็นเรื่องราวที่น่าติดตาม ที่เรียกได้ว่าคลาสสิคตลอดกาลเลยก็ว่าได้ ดังที่เราจะเห็นได้ว่าหนังเรื่องไหนที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับฉลามนี้ มันก็มักจะได้รับความสนใจจากผู้ชมเป็นจำนวนมาก ซึ่งในวันนี้แอดจะพาทุกคนมาดูเรื่องราวชวนตื่นเต้นไปกับ รีวิว The Meg (เม็ก โคตรหลามพันล้านปี) กันเลย ชื่อเรื่อง : “The Meg” (เม็ก โคตรหลามพันล้านปี) แนว : แอคชั่นตื่นเต้นเร้าใจ นักแสดง : Jason Statham, Li Bingbing, Rainn Wilson, Ruby Rose, Winston Chao, Cliff Curtis บทภาพยนตร์ : Dean Georgaris, Jon Hoeber, Erich Hoeber ผู้กำกับ : Jon Turteltaub ค่าย : Warner Bros. Pictures วันฉาย : 10 สิงหาคม 2018 เวลา : 01 ชั่วโมง 58 นาที IMDb : 5.6 (จากทั้งหมด 145241 โหวต) เรื่องย่อ เรื่องราวของมหาเศรษฐีคนหนึ่งที่เอาเงินมาลงทุนสร้าง Mana One (ศูนย์สำรวจโลกใต้ทะเลลึก) ที่ประเทศจีน โดยทาง Mana One ได้มีการส่งเรือดำน้ำไปพร้อมกับลูกเรือไปเพื่อสำรวจใต้มหาสมุทร นั่นทำให้พวกเขาค้นพบได้ว่า โลกใต้มหาสมุทรนั้นยังมีสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาดมากมาย รวมไปถึง “แม็กกาโลดอน” ฉลามยักษ์ที่มีความเชื่อว่ามันสูญพันธ์ไปแล้วกว่า 2 ล้านปีอีกด้วย ซึ่งการส่งเรือดำน้ำลงไปในครั้งนั้นเรือดำน้ำนั้นได้ถูกโจมตีจากฉลามยักษ์จนเสียหาย ทำให้พวกลูกเรือที่อยู่ในนั้นไม่สามารถกลับขึ้นมาได้ เดือดร้อนถึง “โจนาส เทย์เลอร์” (รับบทโดย Jason Statham) ที่ต้องมาช่วยเหลือลูกเรือที่ยังติดอยู่ในเรือนั่นเอง แต่การที่พวกเขาทั้งหมดได้ลุกล้ำเข้าไปยังถิ่นของฉลามยักษ์นั้น มันเหมือนเป็นการเปิดทางให้เจ้าฉลามยักษ์ได้ออกมาสู่เบื้องบนอีกครั้ง รีวิว The Meg (เม็ก โคตรหลามพันล้านปี) สำหรับหนังเรื่องนี้มีการใช้ฉลามยักษ์เป็นจุดขายของเรื่องเลย เรียกได้ว่ามันน่าสนใจเป็นอย่างมาก ยังไงแล้วส่วนตัวแอดเองก็ยังคงชอบหนังสไตล์แบบนี้อยู่เสมอมา ไม่ว่าหนังเรื่องไหนที่เกี่ยวฉลามเข้าฉายนะ แอดไม่เคยพลาดที่จะเข้าไปรับชมเลย โดยพล็อตเรื่องของหนังเรื่องนี้เริ่มแรกเลยก็คงจะเหมือนหนังฮีโร่ทั่วๆไป ประมาณว่าเล่าเรื่องราวในอดีตที่เป็นสาเหตุทำให้พระเอกของรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต จนต้องหลบหนีไปใช้ชีวิตแบบสัมเรเทเมาไปเรื่อย จนในวันหนึ่งเขาก็ต้องกลับมารับบทเป็นฮีโร่อีกครั้งเมื่อสังคมต้องการ ฮ่าๆ เอาเป็นว่าสำหรับหนังเรื่องนี้แอดชอบนะ เพราะหนังเดินเรื่องได้อย่างรวดเร็ว ไม่มีพิธีรีตรองอะไรทั้งสิ้น แถมฉากแอคชั่นที่ต่อสู้กับฉลามนั้นยังสามารถทำออกมาได้เป็นอย่างดีอีกด้วย แอดนี่แอบลุ้นตามไปทุกฉากเลยจริงๆ ตัวอย่าง หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนังต่างประเทศเรื่องอื่นๆ เช่น รีวิว Vampires VS The Bronx (แวมไพร์ บุกบรองซ์) หนังเด็กที่ต้องมาสู้กับแวมไพร์ ได้อีกที่ filmograd.net