รีวิว ผีอยู่ในผม (0.0 Mhz) จากเว็บตูนสุดโด่งดัง กลายมาเป็นหนังผีสุดหลอน

เอาล่ะสิในเมื่อผีอยู่หรือวิญญาณนั้นมีอยู่ทุกที่ที่เราไปทุกที่ที่เราอยู่ ไม่เว้นแม้กระทั่งอยู่ในผม หรือศรีษะเราอย่างใน รีวิว ผีอยู่ในผม (0.0 Mhz) นั่นเอง เรียกได้ว่าต้องนับถือคนที่ตั้งชื่อเรื่องหนังเรื่องนี้เลย เพราะมันทำให้หนังเรื่องนี้มันมีความน่าสนใจ จนทำให้คนดูอย่างเราต้องไปหามารับชมให้รู้ให้ได้ว่า หนังเรื่องนี้มันจะเป็นยังไงกันแน่ แล้วเป็นผีที่อยู่ในผมมันจะออกมาในลักษณะแบบไหนกันนะ เอาเป็นว่าเราไปดูกันเลยดีกว่าว่ามันเป็นยังไงกันบ้าง ไปเลย! ชื่อเรื่อง : “ผีอยู่ในผม” (0.0 Mhz) แนว : สยองขวัญ นักแสดง : Yoon-young Choi, Shin Joo-Hwan, Eun-ji Jung, Won-Chang Jung, Nan-Hee Kim, Sung-yeol Lee  , Jung-Hee Nam, Myung-shin Park บทภาพยนตร์ : Sun-Dong Yoo ผู้กำกับ : Sun-Dong Yoo ค่าย : Smile Entertainment วันฉาย : 29 พฤษภาคม 2019 เวลา : 01 ชั่วโมง 42 นาที IMDb : 4.8 (จากทั้งหมด 537 โหวต) เรื่องย่อ เรื่องราวของวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งที่ประกอบไปด้วย “ซังยอล” (รับบทโดย Sung-yeol Lee) , “โซฮี” (รับบทโดย Eun-ji Jung) , “ยุนจอง” (รับบทโดย Yoon-young Choi) , “ฮันซอก” (รับบทโดย Shin Joo-Hwan) และ “แทซู” (รับบทโดย Won-Chang Jung) ซึ่งพวกเขานั้นชอบกล้าท้าผีมาก โดยพวกเขาได้ไปลองดีตามสถานที่รกร้างต่างๆ เพื่อทดสอบคลื่นความถี่ที่สามารถเรียกผีได้ จนในวันหนึ่งที่พวกเขาได้ไปลองดีที่บ้านร้างแห่งหนึ่ง ที่ที่ทำให้การทดสอบของพวกเขาต้องกลายเป็นฝันร้ายในทันที ซึ่งพวกเขาจะต้องหาทางเอาชีวิตรอดจากผีสาวผมยาวให้ได้ รีวิว ผีอยู่ในผม (0.0 Mhz) หนังเรื่องนี้นั้นมีการดัดแปลงมาจากเว็บตูนสุดโด่งดังที่เขียนโดย “Jak Jang” นั่นเอง ซึ่งสำหรับหนังเรื่องนี้นั้นพล็อตเรื่องจะมาพร้อมๆกับสูตรสำเร็จตามแบบฉบับหนังไทยที่เราได้ดูกันเลย คือเราสามารถเดาทางได้ว่าท้ายที่สุดแล้วใครจะเป็นคนที่รอดชีวิต ฉากผีต่างๆที่เราต้องตกใจและตื่นเต้นก็เรียกได้ว่าเป็นอะไรที่เราสามารถมองออกได้อีกเช่นเคย แต่มีสิ่งหนึ่งที่ดูจนจบแล้วยังหาคำตอบให้กับหนังเรื่องนี้ไม่ได้เลยก็คือ “ผีผมยาวนั้นต้องการอะไร ทำไมต้องตามฆ่าอย่างไร้เหตุผล” เรียกได้ว่าถ้าหากใครที่เคยอ่านในเว็บตูนมาก่อนแล้วมาดูหนังเรื่องนี้นั้น อาจจะไม่ค่อยถูกใจกันสักเท่าไร เพราะในการ์ตูนนั้นมันมีอะไรที่ลึกลับซับซ้อน มีการดึงความสนใจของผู้อ่านอย่างเราได้มากกว่ามาก เหมือนในเว็บตูนมันจะมีการบิ้วอารมณ์เราได้มากกว่าซะอีก ทั้งๆที่เป็นแต่การ์ตูนนะเนี่ย ตัวอย่าง หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนังต่างประเทศเรื่องอื่นๆ เช่น รีวิวหนัง แวมไพร์ ทไวไลท์ 2 (The Twilight Saga: New Moon) ได้อีกที่ filmograd.net

รีวิวหนัง แวมไพร์ ทไวไลท์ 2 (The Twilight Saga: New Moon)

หลังจากที่ได้แนะนำให้ดูภาคแรกกันไปแล้วนั้น วันนี้เรามาต่อกันใน รีวิว แวมไพร์ ทไวไลท์ 2 กันเลยดีกว่า สำหรับเรื่องราวความรักภาคต่อของแวมไพร์สุดหล่อที่ได้สร้างความแปลกตาให้กับคนดูอย่างเราไปแล้วในช่วงนั้น ซึ่งแอดต้องบอกก่อนเลยว่าสำหรับภาคต่อตอนนี้มันค่อนข้างน่าเบื่อ ยืดยาดไปหน่อย ดูแล้วพาลให้เราเบื่อได้แบบง่ายๆเลย คือดูจนจบเรื่องแล้วยังรู้สึกว่า เนื้อเรื่องมันไม่ได้มีอะไรที่ต้องการจะสื่อให้คนดูอย่างเราเหมือนอย่างในภาคแรกเท่าไรนัก แถมพระเอกของเรายังออกมาน้อยอีกต่างหาก เรียกได้ว่าออกมาตอนเรื่องใกล้จบก็ยังได้เลย เหมือนภาคนี้จะเน้นไปที่เรื่องราวของมนุษย์หมาป่าที่ไม่ได้สมกับชื่อเรื่องหนังเลยสักนิด สำหรับแวมไพร์ ทไวไลท์ 2 นี้เหมือนมีอลิซเป็นตัวละครตัวเดียวที่สามารถสร้างความสดใสให้กับคนดูอย่างเราได้สดชื่นไปตามๆกัน แต่อลิซเธอก็ออกมาอย่างน้อยนิดเท่านั้น แอดเลยต้องขอบอกเลยว่าสำหรับภาคนี้แอดว่ายังไม่ผ่านนะ เพราะถ้าเทียบจากภาคแรกแล้ว ภาคแรกยังทำได้ดีกว่าภาคนี้เยอะมาก อย่างน้อยก็ให้บรรยากาศเหมือนมีแวมไพร์อาศัยอยู่จริงๆ มีความเย็นๆเยือกๆให้คนดูอย่างเรารู้สึกได้ ชื่อเรื่อง : “The Twilight Saga: New Moon” (แวมไพร์ ทไวไลท์2) แนว : โรแมนติก แฟนตาซี นักแสดง : Kristen Stewart, Robert Pattinson, Taylor Lautner, Ashley Greene, Rachelle Lefevre, Billy Burke, Peter Facinelli, Nikki Reed, Kellan Lutz, Jackson Rathbone, Anna Kendrick, Michael Sheen, Dakota Fanning บทภาพยนตร์ : Melissa Rosenberg ผู้กำกับ : Chris Weitz ค่าย : Summit Entertainment วันฉาย : 20 พฤศจิกายน 2009 เวลา : 02 ชั่วโมง 10 นาที IMDb : 4.7 (จากทั้งหมด 262,817 โหวต) เรื่องย่อ เรื่องราวความรักภาคต่อของ “เบลล่า” (รับบทโดย Kristen Stewart) และ “เอ็ดเวิร์ด” (รับบทโดย Robert Pattinson) หลังจากที่เบลล่าอายุครบ 18 ปีบริบูรณ์นั้น เอ็ดเวิร์ดก็ตัดสินใจออกไปจากชีวิตของเธอ เพราะต้องการให้เธอไปมีชีวิตแบบคนปกติธรรมดาทั่วไป นั่นทำให้เบลล่าใช้ชีวิตแบบไร้เรี่ยวแรง ไม่คบหากับใครและใช้ชีวิตอยู่ตามลำพัง ซึ่งในขณะเดียวกันนั้นเองเธอก็ค้นพบว่า เธอสามารถพบกับเอ็ดเวิร์ดได้อีกครั้งก็ต่อเมื่อเธอตกอยู่ในอันตรายเท่านั้น นั่นทำให้เธอตัดสินใจทำเรื่องเสี่ยงอันตรายมากขึ้นเรื่อยๆ ตัวอย่าง “แวมไพร์ ทไวไลท์ 2“ หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนังต่างประเทศเรื่องอื่นๆ เช่น รีวิว Twilight (แวมไพร์ ทไวไลท์ แรกรัตติกาล) กับความรักของแวมไพร์ ได้อีกที่ filmograd.net

รีวิว Twilight (แวมไพร์ ทไวไลท์ แรกรัตติกาล) กับความรักของแวมไพร์

สำหรับวันนี้แอดจะพาทุกคนมาดู รีวิว Twilight  หนังเก่าที่เคยเป็นกระแสโด่งดังมาก่อนในสมัยนั้น ซึ่งที่แอดเลือกหยิบหนังเรื่องนี้มาบอกเล่าอีกครั้ง นั่นก็เพราะว่าหนังเรื่องนี้เพิ่งได้เข้าใน Netflix เมื่อไม่กี่วันมานี้ แถมยังติด Top 10 ในทันทีอีกต่างหาก โดยหนังเรื่องนี้นั้นสร้างขึ้นมาจากนิยายขายดีอย่าง “Twilight” ที่เขียนโดย Stephenie Meyer นั่นเอง ชื่อเรื่อง : “Twilight” (แวมไพร์ ทไวไลท์) แนว : โรแมนติกแฟนตาซี นักแสดง : Kristen Stewart, Robert Pattinson, Billy Burke, Peter Facinelli บทภาพยนตร์ : Melissa Rosenberg ผู้กำกับ : Catherine Hardwicke ค่าย : Summit Entertainment วันฉาย : 17 พฤศจิกายน 2008 เวลา : 02 ชั่วโมง 01 นาที IMDb : 5.2 (จากทั้งหมด 421,299 โหวต) เรื่องย่อ เรื่องราวของ “เบลล่า สวอน” (รับบทโดย Kristen Stewart) เด็กสาวในครอบครัวที่พ่อแม่หย่าร้างกัน และแยกกันอยู่ ซึ่งเธอได้ใช้ชีวิตอยู่กับแม่ของเธอมาโดยตลอดตั้งแต่เด็ก แต่ในวันหนึ่งแม่ของเธอก็ได้แต่งงานใหม่ และสามีใหม่ของแม่เธอเป็นนักเบสบอลที่ต้องเดินทางไปแข่งขันบ่อยๆ เธอจึงเห็นว่าถ้าเธอยังอยู่กับแม่นั้น แม่เธอจะต้องคอยอยู่ดูแลเธอที่บ้านแทนที่จะได้ออกเดินทางไปพร้อมกับสามีใหม่ เบลล่าจึงอยากเปิดโอกาสให้แม่ของเธอมีความสุขกับชีวิตคู่ครั้งใหม่นี้ให้เต็มที่ เธอจึงตัดสินใจย้ายไปอยู่กับพ่อของเธอที่เมืองฟอร์ก สหรัฐอเมริกา เมืองที่มีฝนตก หนาวเย็นตลอดทั้งปีแทน เมื่อเบลล่าได้เข้าไปเรียนที่โรงเรียนแห่งใหม่ เธอก็ได้พบเข้ากับ “เอ็ดเวิร์ด คัลเลน” (รับบทโดย Robert Pattinson) ผู้ชายที่สุดแสนจะเพอร์เฟ็ค ไม่ว่าจะเป็นรูปร่าง หน้าตา ความแข็งแรง และความฉลาดที่เรียกได้ว่าครบเครื่องเอามากๆ แต่ภายใต้ความเพอร์เฟ็คนี้กลับมีความลับบางอย่างซ่อนอยู่ รีวิว Twilight สำหรับหนังเรื่องนี้เรียกได้ว่าเป็นยุคบุกเบิกของหนังที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับแวมไพร์ในสมัยนั้นได้เลย เพราะด้วยความที่มันเป็นหนังรักที่มีเรื่องราวของแวมไพร์ และมีฉากต่อสู้เพื่อปกป้องคนที่รักเราให้เราได้ดูได้อย่างไม่น่าเบื่อเลย ซึ่งสำหรับใครที่ไม่ชอบหนังรักที่เป็นหนังรักแบบความรักหวานแหวว แอดว่าหนังเรื่องนี้ก็ตอบโจทย์อยู่นะ อีกทั้งหนังเรื่องนี้ยังเป็นหนังที่ใช้การเดินเรื่องได้แบบเรียลมากๆ เพราะตัวหนังนั้นมีการใส่เพลงประกอบมาน้อยมาก ให้อารมณ์เหมือนเรากำลังดูหนังญี่ปุ่นอยู่เลย เอาเป็นว่าสำหรับแอดนะ แอดว่าหนังเรื่องนี้น่ารักสมคำล่ำลือเลยจริง ว่าจะตามเก็บให้ครบทุกภาคเลยแหละ ตัวอย่าง หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนังต่างประเทศเรื่องอื่นๆ เช่น รีวิว Love and Monsters กับการต่อสู้เพื่อเอาตัวรอดในวันสิ้นโลก ได้อีกที่ filmograd.net

รีวิว Love and Monsters กับการต่อสู้เพื่อเอาตัวรอดในวันสิ้นโลก

ว่าด้วยเรื่องของหนังที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับวันสิ้นโลกนั้นมีการผลิตออกมาเป็นจำนวนมาก ซึ่งในวันนี้แอดจะก็พาทุกคนมาดูกันอีกเรื่องใน รีวิว Love and Monsters ที่เดิมทีแล้วหนังเรื่องนี้มีชื่อเรื่องว่า “Monster Problems” มาก่อน อีกทั้งยังมีแผนว่าจะออกฉายในโรงภาพยนตร์ตั้งแต่เมื่อวันที่ 06 มีนาคม 2020 แต่เนื่องจากติดสถานการณ์โควิด-19 จึงต้องขอขยับกำหนดฉายออกไปเรื่อยๆ จนในที่สุดทางค่ายหนังก็ตัดสินใจนำมาออกฉายในรูปแบบสตีมมิ่งให้เราได้รับชมกันในวันที่ 16 ตุลาคม ที่ผ่านมานี้เอง ชื่อเรื่อง : “Love and Monsters” แนว : พจญภัย คอมเมดี้ นักแสดง : Dylan O’Brien, Michael Rooker, Ariana Greenblatt, Jessica Henwick บทภาพยนตร์ : Brian Duffield, Matthew Robinson ผู้กำกับ : Michael Matthews ค่าย : Paramount Pictures วันฉาย : 16 ตุลาคม 2020 เวลา : 01 ชั่วโมง 49 นาที IMDb : 7.8 (จากทั้งหมด 2,424) เรื่องย่อ เรื่องราวของโลกที่มีอุกาบาตลึกลับตกลงมาบนโลกมนุษย์ โดยอุกาบาตที่ตกลงมานี้กลับนำพาเชื้อโรคร้ายที่ทำให้สัตว์และแมลงต่างๆ สามารถกลายร่างเป็นปีศาจตัวใหญ่มหึมาได้ ซึ่งมันส่งผลให้มนุษย์ส่วนใหญ่โดนฆ่าตายไปมากกว่าครึ่ง และมนุษย์ส่วนที่เหลือจำต้องหลบภัยอยู่ภายใต้บังเกอร์ใต้ดินเพื่อมีชีวิตรอดปลอดภัย แต่เมื่อ “โจล” (รับบทโดย Dylan O’Brien) ชายหนุ่มวัยรุ่นผู้ที่รอดชีวิตอยู่ภายใต้บังเกอร์นั้นสามารถติดต่อ “เอมมี่” (รับบทโดย Jessica Henwick) แฟนสาวที่ผลัดหลงกันตอนเกิดเหตุได้ ด้วยความรักและความคิดถึง โจลจึงคิดว่าจะไปหาเอมมี่ด้วยตัวคนเดียวให้ได้ ถึงแม้เพื่อนๆภายใต้บังเกอร์เดียวกันจะห้ามเขามากแค่ไหนก็ตาม เขาก็ยังเลือกจะออกไปอยู่ดี รีวิว Love and Monsters สำหรับใครที่กำลังคิดถึงผลงานของ Dylan O’Brien ที่ได้ห่างหายไปจากวงการภาพยนตร์ทันทีหลังจากที่จบหนังภาคต่อสุดฮิตอย่าง “The Maze Runner” นั้น วันนี้เขากลับมาแล้วกับหนังพจญภัยเรื่องใหม่นี้ ซึ่งแอดต้องบอกเลยว่าหนังเรื่องนี้นั้นเป็นหนังที่เราสามารถดูกันได้ทั้งครอบครัวเลย ไม่ว่าจะชาย หญิง เด็ก คนโต ก็สามารถดูได้เลย เพราะว่าหนังเรื่องนี้ไม่ได้มีฉากที่ดุเลือดเลือดพล่านจนน่ากลัวมากนัก โดยหนังเรื่องนี้จะเน้นไปที่เรื่องของความตื่นเต้นที่เราต้องคอยลุ้นตามตัวละครหลักอย่างเดียวเท่านั้นจริงๆ ซึ่งแอดต้องบอกเลยว่าหนังมันสนุกมากจริงๆ มีการดำเนินเรื่องได้อย่างรวดเร็ว ไม่เสียเวลาเลยสักนิด อีกทั้งหนังยังใส่ความตื่นเต้นเข้ามา เพื่อให้ผู้ชมต้องคอยลุ้นตามเกือบตลอดทั้งเรื่องเลยทีเดียว ตัวอย่าง หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนังต่างประเทศเรื่องอื่นๆ เช่น รีวิว เฟคซูสู้เว้ย! (Secret Zoo) หนังที่ผสมผสานสาระและความฮาได้อย่างแนบเนียน ได้อีกที่ filmograd.net

รีวิวหนังเรื่อง “Crazy Rich Asians” (เครซี่ ริช เอเชี่ยนส์ เหลี่ยมโบตัน)

ว่าด้วยเรื่องราวของหนังที่เคยเป็นกระแสที่โด่งดัง และสามารถครองแชมป์ทำรายได้ในสหรัฐอเมริกาได้ทั้งจอเล็กและจอใหญ่อย่างเรื่อง “Crazy Rich Asians” (เครซี่ ริช เอเชี่ยนส์ เหลี่ยมโบตัน) นี้นั้น ถือได้ว่าเป็นปรากฏการณ์ที่สร้างความภาคภูมิใจให้กับคนเอเชียเราเป็นอย่างมาก อีกทั้งหนังเรื่องนี้ยังมีเค้าโครงมาจากนิยายเรื่อง “CrazyRich Asians” ที่เขียนโดย Kevin Kwan อีกด้วย เอาเป็นว่าเรามาดูกันเลยดีกว่าว่าหนังเรื่องนี้มันมีดียังไงกันนะ ชื่อเรื่อง : “Crazy RichAsians” (เครซี่ ริช เอเชี่ยนส์ เหลี่ยมโบตัน) แนว : โรแมนติก คอมเมดี้ นักแสดง : Constance Wu, Henry Golding, Gemma Chan, Lisa Lu, Awkwafina, Ken Jeong, Michelle Yeoh บทภาพยนตร์ : Peter Chiarelli, Adele Lim ผู้กำกับ : Jon M. Chu ค่าย : Warner Bros. Pictures วันฉาย : 15 สิงหาคม 2018 เวลา : 02 ชั่วโมง 01 นาที IMDb : 6.9 (จากทั้งหมด 135,143 โหวต) เรื่องย่อ เรื่องราวของ “เรเชล ชู” (รับบทโดย Constance Wu) อาจารย์สาวลูกครึ่งเชื้อสายอเมริกัน-จีนสอนเศรษฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งต้องเดินทางไปร่วมงานแต่งเพื่อนสนิทของ “นิค ยัง” (รับบทโดย Henry Golding) แฟนหนุ่มของเธอที่ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งหลังจากที่เธอได้เดินทางไปพบกับครอบครัวของนิกแล้วนั้น เธอกลับพบว่าแฟนหนุ่มของเธอมีฐานะร่ำรวยเข้าขั้นเศรษฐีอันดับต้นๆของประเทศสิงคโปร์อีกด้วย และการคบหากับนิคในครั้งนี้ทำให้เธอต้องตกเป็นเป้าหมายของสังคมรอบๆ เพราะความอิจฉานั่นเอง แต่ที่แย่ยิ่งกว่านั้นนั่นก็คือ “เอลิเนอร์ ยัง” (รับบทโดย Michelle Yeoh) แม่ของนิก ยังไม่ชอบเธอเอามากๆอีกด้วย รีวิว Crazy Rich Asians สำหรับคนไทยอย่างเราถ้าได้ดูหนังเรื่องนี้อาจจะมีความรู้สึกว่า หนังมันว้าวตรงไหนกันนะ ทำไมอเมริกาถึงได้ฮิตแล้วถูกพูดถึงเป็นอย่างมากในช่วงนั้น ซึ่งหนังเรื่องนี้มันอาจจะเป็นพล็อตหนังที่ออกไปในทางแนวหนังน้ำเน่าที่คนไทยเราคุ้นชินมันเป็นอย่างดีนั่นเอง แต่ทางอเมริกาเขาไม่ได้มีหนังแนวๆนี้มากเหมือนบ้านเราไง เพราะทางฮอลลีวูดของบ้านเขาจะเน้นไปที่การทำหนังแนวซุปเปอร์ฮีโร่หรือหนังแฟนตาซีนอกโลกกันซะเป็นส่วนใหญ่เลย มันก็เลยอาจจะเป็นจุดขายที่ดีของหนังเรื่องนี้เลยก็เป็นได้ เอาเป็นว่าสำหรับหนังเรื่องนี้นะ แอดว่าเราสามารถดูได้แบบเพลินๆอยู่นะ คู่พระ-นางก็น่ารัก เคมีเข้ากันสุดๆเลย ตัวอย่าง หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนังต่างประเทศเรื่องอื่นๆ เช่น รีวิว The Meg (เม็ก โคตรหลามพันล้านปี) กับฉลามยักษ์ในยุคดึกดำบรรพ์ ได้อีกที่ filmograd.net

รีวิว เฟคซูสู้เว้ย! (Secret Zoo) หนังที่ผสมผสานสาระและความฮาได้อย่างแนบเนียน

สำหรับใครที่กำลังมองหาหนังเบาๆสบายสมอง แต่ก็ยังแอบแฝงไปด้วยความตลกนั้น แอดขอแนะนำให้ดู รีวิว เฟคซูสู้เว้ย! (Secret Zoo) เรื่องนี้เลย โดยหนังเรื่องนี้นั้นมีเค้าโครงเรื่องมาจาก Webtoon เรื่อง “I Don’t Bully You” ที่เขียนโดย Hun อีกด้วย อีกทั้งหนังเรื่องนี้ยังถือได้ว่าเป็นหนังยอดฮิตที่ขึ้นชาร์จอันดับ 1 ของเกาหลีได้อย่างเต็มภาคภูมิเลยทีเดียว เอาเป็นว่าเราได้ดูกันเลยดีกว่าว่ามันจะเป็นยังไงกันบ้าง ชื่อเรื่อง : “Secret Zoo” (เฟคซูสู้เว้ย!) แนว : คอมเมดี้ นักแสดง : Ahn Jae-hong, Kang So-ra, Park Yeong-gyu, Kim Sung-oh, Jeon Yeo-been บทภาพยนตร์ : Son Jae-gon, Lee Yong-jae, Kim Dae-woo ผู้กำกับ : Son Jae-gon ค่าย : Acemaker Movieworks วันฉาย : 15 มกราคม 2020 เวลา : 01 ชั่วโมง 57 นาที IMDb : 6.2 (จาก 610 โหวต) เรื่องย่อ เรื่องราวของ “คังแทซู” (รับบทโดย Ahn Jae-hong) ทนายน้องใหม่ของบริษัทที่ปรึกษาทางกฏหมายชื่อดังของเกาหลีใต้ โดยแทซูต้องการที่จะก้าวหน้าในหน้าที่การงานของตนเอง หวังเพื่อขึ้นเป็นพนักงานประจำของบริษัทให้ได้ จนในวันหนึ่งโอกาสของเขาก็มาถึง ในเมื่อหัวหน้าของเขามอบหมายงานให้เขาเพื่อพิสูจน์ตนเอง โดยเขาต้องไปบริหารฟื้นฟูสวนสัตว์ที่กำลังจะเจ๊งให้กลับมามีมูลค่ามากกว่าเดิมให้ได้ภายใน 3 เดือนนี้ แต่เมื่อแทซูไปถึงสวนสัตว์แล้วกลับพบว่ามีเพียงหมีขั้วโลกตัวเดียวและพนักงานอีก 4 คนเท่านั้นที่ยังอยู่ที่สวนสัตว์แห่งนี้ แต่ในเมื่อสวนสัตว์มันไม่มีสัตว์ให้ลูกค้ามารับชม แทซูจึงคิดแผนการประหลาดๆอย่างให้พนักงานใส่ชุดสัตว์เข้าไปอยู่ในกรง เพื่อตบตาผู้ชมที่ซื้อตั๋วเข้ามารับชมสัตว์นั่นเอง รีวิว เฟคซูสู้เว้ย! (Secret Zoo) เริ่มด้วยเรื่องราวของหนังช่วงแรกนั้นมีการปูพื้นฐานของตัวเอกของเราอยู่มากพอควรเลยว่า เขามีพื้นฐานอย่างไร และทำไมถึงได้ตกกระไดพลอยโจรมาเป็นผู้บริหารสวนสัตว์แห่งนี้ได้ เรียกได้ว่าหลังจากที่ผ่านช่วงนั้นมาแล้วเริ่มเข้าสู่การดำเนินการบริหารงานที่สวนสัตว์ของเขาแล้วนั้นมันเต็มไปด้วยความฮาที่แทรกอยู่ทุกหย่อมหญ้าจริงๆ อีกทั้งหนังเรื่องนี้ยังมีการเน้นไปที่เรื่องระบบสิ่งแวดล้อมได้อย่างแนบเนียน ไม่น่าเกลียดจนดูแล้วน่าเบื่อเลย เรียกได้ว่าหนังเรื่องนี้มีทั้งสาระและความฮาผสมกันมาได้อย่างลงตัวเลยทีเดียว ตัวอย่าง หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนังต่างประเทศเรื่องอื่นๆ เช่น รีวิว The Last Summer กับหนังรักที่จะชวนให้คุณคิดถึงวัยเรียนเป็นอย่างมาก ได้อีกที่ filmograd.net

รีวิว Upgrade กับการอัพเกรดร่างกายให้แข็งแกร่งยิ่งกว่าหุ่นยนต์ธรรมดาๆ

ว่าด้วยเรื่องราวของเทคโนโลยีสมัยนี้นี่ล้ำสมัยขึ้นทุกๆวันเลยทีเดียว แถมระบบ AI เองนั้นก็ยังเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของเราเป็นอย่างมาก อย่างในวันนี้แอดจะพาทุกคนมาดูหนังที่มีการนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาฝังเอาไว้ในร่างกายของมนุษย์เพื่อผลประโยชน์อะไรสักอย่างอย่าง รีวิว Upgrade นั่นเอง ชื่อเรื่อง : “Upgrade” แนว : เทคโนโลยีแอคชั่น นักแสดง : Logan Marshall-Green, Betty Gabriel, Harrison Gilbertson บทภาพยนตร์ : Leigh Whannell ผู้กำกับ : Leigh Whannell ค่าย : OTL Releasing, BH Tilt วันฉาย : 01 มิถุนายน 2018 เวลา : 01 ชั่วโมง 40 นาที IMDb : 7.5 (จาก 151,603 โหวต) เรื่องย่อ เรื่องราวของ “เกรย์” (รับบทโดย Logan Marshall-Green) นักซ่อมรถคนหนึ่งที่ภรรยาของเขาถูกร้ายจนเสียชีวิต ส่วนตัวเขาเองนั้นก็พิการจนเป็นอัมพาตทั้งตัว ซึ่งเขาต้องใช้ชีวิตอยู่บนรถเข็นมาโดยตลอด จนในวันหนึ่งเขาจำใจต้องเข้าร่วมการทดลองฝัง “สเต็ม” โปรแกรมคอมพิวพ์ลงบนคอของเขา เพื่อหวังว่าเขาจะสามารถกลับมาเดิน หรือสามารถกลับมาใช้ชีวิตเป็นปกติได้อีกครั้ง แต่หลังจากที่เขาได้ฝังสเต็มลงบนคอแล้วนั้น เรื่องราวมันกลับไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เพราะสเต็มนั้นมันเข้ามาควบคุมร่างกายของเขาได้อย่างเต็มที่ โดยที่เขาไม่สามารถควบคุมร่างกายของตนเองได้เลย อีกทั้งสเต็มที่ฝังอยู่ที่คอของเขานั้นยังสั่งการให้เขาตามหาตัวและล้างแค้นคนที่ฆ่าภรรยาของเขาอีกด้วย รีวิว Upgrade โอ้ย…หนังอย่างดีเลย ฉากแอคชั่นนี่ดุเดือดเลือดพล่านมาก ฉากแอคชั่นนี่แสดงให้เรารู้ได้เลยว่า มันเป็นการสู้ของหุ่นยนต์จริงๆ เพราะการต่อสู้นี้มันไม่ได้มีการเคลื่อนไหวที่เป็นธรรมชาติเหมือนมนุษย์เท่าไรนัก ซึ่งมันเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของหนังเรื่องนี้ที่เรียกได้ว่า เก็บได้ทุกรายละเอียดเลยจริงๆ อีกทั้งพล็อตเรื่องหรือเนื้อเรื่องนั้นยังทำออกมาได้เป็นอย่างดีอีกต่างหาก อย่างในตอนที่เฉลยเบื้องหลังของเรื่องทั้งหมดนี้มันทำให้แอดต้องอุทานว่า “หื้อหือ” ได้เลยจริงๆ แถมหนังเรื่องนี้ยังได้ผู้กำกับอย่าง Leigh Whannell เจ้าของผลงานการกำกับหนังเรื่อง “Saw” มากำกับหนังเรื่องนี้อีกด้วย ตัวอย่าง หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนังต่างประเทศเรื่องอื่นๆ เช่น รีวิว The Last Summer กับหนังรักที่จะชวนให้คุณคิดถึงวัยเรียนเป็นอย่างมาก ได้อีกที่ filmograd.net

รีวิว The Meg (เม็ก โคตรหลามพันล้านปี) กับฉลามยักษ์ในยุคดึกดำบรรพ์

ว่าด้วยเรื่องราวของการต่อสู้กับฉลาม ไม่ว่าจะเป็นการสู้เพื่อเอาชีวิตรอด หรือการสู้เพื่ออะไรก็แล้วแต่ ยังไงแล้วมันก็ยังคงเป็นเรื่องราวที่น่าติดตาม ที่เรียกได้ว่าคลาสสิคตลอดกาลเลยก็ว่าได้ ดังที่เราจะเห็นได้ว่าหนังเรื่องไหนที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับฉลามนี้ มันก็มักจะได้รับความสนใจจากผู้ชมเป็นจำนวนมาก ซึ่งในวันนี้แอดจะพาทุกคนมาดูเรื่องราวชวนตื่นเต้นไปกับ รีวิว The Meg (เม็ก โคตรหลามพันล้านปี) กันเลย ชื่อเรื่อง : “The Meg” (เม็ก โคตรหลามพันล้านปี) แนว : แอคชั่นตื่นเต้นเร้าใจ นักแสดง : Jason Statham, Li Bingbing, Rainn Wilson, Ruby Rose, Winston Chao, Cliff Curtis บทภาพยนตร์ : Dean Georgaris, Jon Hoeber, Erich Hoeber ผู้กำกับ : Jon Turteltaub ค่าย : Warner Bros. Pictures วันฉาย : 10 สิงหาคม 2018 เวลา : 01 ชั่วโมง 58 นาที IMDb : 5.6 (จากทั้งหมด 145241 โหวต) เรื่องย่อ เรื่องราวของมหาเศรษฐีคนหนึ่งที่เอาเงินมาลงทุนสร้าง Mana One (ศูนย์สำรวจโลกใต้ทะเลลึก) ที่ประเทศจีน โดยทาง Mana One ได้มีการส่งเรือดำน้ำไปพร้อมกับลูกเรือไปเพื่อสำรวจใต้มหาสมุทร นั่นทำให้พวกเขาค้นพบได้ว่า โลกใต้มหาสมุทรนั้นยังมีสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาดมากมาย รวมไปถึง “แม็กกาโลดอน” ฉลามยักษ์ที่มีความเชื่อว่ามันสูญพันธ์ไปแล้วกว่า 2 ล้านปีอีกด้วย ซึ่งการส่งเรือดำน้ำลงไปในครั้งนั้นเรือดำน้ำนั้นได้ถูกโจมตีจากฉลามยักษ์จนเสียหาย ทำให้พวกลูกเรือที่อยู่ในนั้นไม่สามารถกลับขึ้นมาได้ เดือดร้อนถึง “โจนาส เทย์เลอร์” (รับบทโดย Jason Statham) ที่ต้องมาช่วยเหลือลูกเรือที่ยังติดอยู่ในเรือนั่นเอง แต่การที่พวกเขาทั้งหมดได้ลุกล้ำเข้าไปยังถิ่นของฉลามยักษ์นั้น มันเหมือนเป็นการเปิดทางให้เจ้าฉลามยักษ์ได้ออกมาสู่เบื้องบนอีกครั้ง รีวิว The Meg (เม็ก โคตรหลามพันล้านปี) สำหรับหนังเรื่องนี้มีการใช้ฉลามยักษ์เป็นจุดขายของเรื่องเลย เรียกได้ว่ามันน่าสนใจเป็นอย่างมาก ยังไงแล้วส่วนตัวแอดเองก็ยังคงชอบหนังสไตล์แบบนี้อยู่เสมอมา ไม่ว่าหนังเรื่องไหนที่เกี่ยวฉลามเข้าฉายนะ แอดไม่เคยพลาดที่จะเข้าไปรับชมเลย โดยพล็อตเรื่องของหนังเรื่องนี้เริ่มแรกเลยก็คงจะเหมือนหนังฮีโร่ทั่วๆไป ประมาณว่าเล่าเรื่องราวในอดีตที่เป็นสาเหตุทำให้พระเอกของรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต จนต้องหลบหนีไปใช้ชีวิตแบบสัมเรเทเมาไปเรื่อย จนในวันหนึ่งเขาก็ต้องกลับมารับบทเป็นฮีโร่อีกครั้งเมื่อสังคมต้องการ ฮ่าๆ เอาเป็นว่าสำหรับหนังเรื่องนี้แอดชอบนะ เพราะหนังเดินเรื่องได้อย่างรวดเร็ว ไม่มีพิธีรีตรองอะไรทั้งสิ้น แถมฉากแอคชั่นที่ต่อสู้กับฉลามนั้นยังสามารถทำออกมาได้เป็นอย่างดีอีกด้วย แอดนี่แอบลุ้นตามไปทุกฉากเลยจริงๆ ตัวอย่าง หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนังต่างประเทศเรื่องอื่นๆ เช่น รีวิว Vampires VS The Bronx (แวมไพร์ บุกบรองซ์) หนังเด็กที่ต้องมาสู้กับแวมไพร์ ได้อีกที่ filmograd.net

รีวิว Fantasy Island (เกาะสวรรค์ เกมนรก) กับหนังที่ไปไม่สุดเลยสักทาง

หลายๆคนคงจะคุ้นชินกับเรื่องราวของ “เกาะสวรรค์” ที่เบื้องหลังมันไม่ได้สุขสบายอย่างที่ทุกคนคิดกันมาบ้างแล้วใช่ไหม? เพราะจริงๆแล้วเรื่องราวประเภทนี้มันมีกระแสมานานมากแล้วแหละ แต่เพียงกระแสมันค่อนข้างที่จะเงียบไปเมื่อหลายปีที่แล้ว ซึ่งในวันนี้แอดจะพาทุกคนมาหวนไปนึกถึงความหลังกันกับ รีวิว Fantasy Island (เกาะสวรรค์ เกมนรก) กันเลย ชื่อเรื่อง : “Fantasy Island” (เกาะสวรรค์ เกมนรก) แนว : สยองขวัญเหนือธรรมชาติ นักแสดง : Michael Peña, Maggie Q, Lucy Hale, Austin Stowell, Portia Doubleday, Jimmy O. Yang, Ryan Hansen, Michael Rooker บทภาพยนตร์ : Jeff Wadlow, Chris Roach, Jillian Jacobs ผู้กำกับ : Jeff Wadlow ค่าย : Sony Pictures Releasing วันฉาย : 14 กุมภาพันธ์ 2020 เวลา : 01 ชั่วโมง 49 นาที IMDb : 4.9 เรื่องย่อ เรื่องราวของกลุ่มผู้โชคดีกลุ่มหนึ่งที่ชนะเกมชิงรางวัล และได้รับรางวัลเป็นที่พักและการใช้ชีวิตบนเกาะลึกลับแห่งหนึ่งที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเกาะสวรรค์ดีๆนี่เอง ซึ่งพวกเขาทุกคนนั้นสามารถที่สามารถที่จะขอพรได้คนละ 1 ข้อ เพื่อบรรลุความปารถนาของตัวเองให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขความผิดพลาดในอดีต หรือแม้แต่การแก้แค้นจากอะไรก็แล้วแต่ เพียงแต่การขอพรนั้นอาจจะแลกมาด้วยชีวิตของพวกเขาเองก็เป็นได้ รีวิว Fantasy Island เอาจริงๆกับพล็อตหนังเรื่องนี้แอดว่ามันเป็นพล็อตเรื่องที่โอเคในระดับหนึ่งเลยนะ แต่เพียงแอดรู้สึกว่ามันยังไม่ค่อยสุดสักเท่าไร เพราะเนื้อเรื่องมันสามารถที่จะแตกแขนง หรือเล่าขยายออกไปได้มากกว่านี้อีกเยอะเลย ซึ่งจริงๆแล้วแนวของหนังเรื่องนี้อย่างที่เราเห็นจากเรื่องย่อแล้ว หลายๆคนก็คงคิดว่ามันน่าจะเป็นหนังแนวเอาตัวรอด และหวังว่าจะมีฉากไล่ฆ่าที่มันดุเดือดหน่อยใช่ไหม แอดต้องขอบอกว่าหนังเรื่องนี้มันอาจจะไม่ได้มีมีอะไรแบบนั้นสักเท่าไร อีกทั้งการเล่าเรื่องยังออกจะสะเปะสะปะ ไปเรื่องโน้นที เรื่องนี้ที เรียกได้ว่าเป็นการเล่าเรื่องที่ทำให้คนดูอย่างเราเบื่อได้เลยล่ะ แล้วไหนจะความอึดอัดตามนักแสดงที่ดูแล้วรู้สึกเหมือนมันไม่ค่อยเป็นธรรมชาติเท่าที่ควรเลย ตัวอย่าง หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนังต่างประเทศเรื่องอื่นๆ เช่น รีวิว Johnny English Strikes Again กับการกลับมาของสายลับรุ่นใหญ่ ได้อีกที่ filmograd.net

รีวิว The Last Summer กับหนังรักที่จะชวนให้คุณคิดถึงวัยเรียนเป็นอย่างมาก

เคยเป็นกันไหม? ที่อยู่ดีๆบางทีเราก็อดคิดถึงเรื่องราวในสมัยเรียนเป็นไม่ได้ เรียกได้ว่าช่วงนั้นเป็นวัยที่เราสามารถสนุกสุดเหวี่ยงกันได้แบบเต็มที่ โดยไม่ต้องมานั่งคิดอะไรมากมายเลย และในวันนี้เราจะพาทุกคนมาหวนรำลึกถึงอดีตที่หอมหวานกันอีกครั้งใน รีวิว The Last Summer หนังที่ให้ข้อคิดกับเราในเรื่องของเวลาได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว เพราะเวลามันเป็นอะไรที่ผ่านไปเร็วมาก และมันก็ยังเป็นสิ่งที่เราก็ไม่สามารถที่จะย้อนกลับไปแก้ไขหรือทำอะไรกับมันได้อีกต่อไป ชื่อเรื่อง : “The Last Summer” แนว : โรแมนติก นักแสดง : KJ Apa, Maia Mitchell, Jacob Latimore, Halston Sage, Sosie Bacon, Wolfgang Novogratz, Gabrielle Anwar, Ed Quinn, Jacob McCarth, Mario Revolori, Gage Golightly, Norman Johnson, Jr., Tyler Posey บทภาพยนตร์ : Scott Bindley, William Bindley ผู้กำกับ : William Bindley ค่าย : Netflix วันฉาย : 03 พฤษภาคม 2019 เวลา : 01 ชั่วโมง 50 นาที IMDb : 5.6 เรื่องย่อ เรื่องราวของเหล่าวัยรุ่นที่เพิ่งจบมัธยมปลายที่ต้องแยกย้ายกันไปใช้ชีวิตของตัวเองในฤดูร้อนสุดท้าย เพื่ออำลาช่วงชีวิตวัยรุ่น ก่อนที่พวกเขาจะต้องไปเริ่มต้นใช้ชีวิตแบบผู้ใหญ่กันต่อไปในมหาวิทยาลัยนั่นเอง แต่เรื่องราววุ่นวายต่างๆก็ได้เข้ามาปั่นป่วน ชวนให้ชีวิตพวกเขาต้องตัดสินใจอะไรหลายๆอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวของการพบเจอความรัก ความผิดหวัง หรือแม้แต่เรื่องราวของความสัมพันธ์ในครอบครัวก็ตาม ซึ่งพวกเขาจะสามารถผ่านฤดูร้อนนี้ไปได้อย่างไร ต้องไปติดตามรับชมกันต่อในหนังได้เลย รีวิว The Last Summer สำหรับหนังเรื่องนี้ถ้าหากใครที่ชอบแนวการเดินเรื่องแบบเรื่อยๆเพื่อตามติดชีวิตใครสักคน หนังเรื่องนี้อาจจะเหมาะกับคุณ แต่ถ้าหากใครไม่ชอบการเดินเรื่องแบบเรื่อยๆแล้วมาดูหนังเรื่องนี้ คุณอาจจะเบื่อก็เป็นได้ ซึ่งจริงๆแล้วหนังเรื่องนี้สามารถแสดงออกมาให้เราหวนไปนึกถึงชีวิตในวัยเรียน ที่เป็นวัยที่เราได้ใช้ชีวิตได้อย่างสนุกสุดเหวี่ยงได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว อีกทั้งหนังเรื่องนี้ยังมีนักแสดงเยอะมากๆอีกด้วย แต่ด้วยความที่นักแสดงเยอะนี้กลับไม่มีนักแสดงคนไหนที่ถูกใช้แบบทิ้งขว้างเลย เพราะหนังเรื่องนี้ได้มีการโฟกัสไปที่ตัวละครทุกตัว หรือที่เรียกได้ว่าให้ความสำคัญกับทุกตัวละครเลยทีเดียว ตัวอย่าง หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนัง Netflix เรื่องอื่นๆ เช่น รีวิวหนัง “A Christmas Prince” (เจ้าชายคริสต์มาส) กับหนังน่ารักๆอีกหนึ่งเรื่อง ได้อีกที่ filmograd.net