รีวิวภาพยนตร์แฟนตาซีเรื่อง The Hunger Games สุดสนุกและสร้างรายได้มหาศาล

สวัสดีครับ คุณรู้จักภาพยนตร์ดีแค่ไหนแต่บอกได้เลยเรารู้จักภาพยนตร์เยอะกว่าคุณแน่นอน และบทความนี้จะพาคุณไปเยือนกับภาพยนตร์ที่มีชื่อว่า The Hunger Games ซึ่งเป็นภาพยนตร์อีกหนึ่งเรื่องที่ได้การตอบรับดีเยี่ยม แถมยังผลิตออกมาสร้างรายได้ให้กับวงการภาพยนตร์อันมหาศาล เราไปทำความรู้จักกับภาพยนต์ที่มีชื่อว่าThe Hunger Gamesกันเลยครับ รีวิว ภาพยนตร์แฟนตาซีเรื่อง “The Hunger Games” สำหรับภาพยนตร์เรื่องThe Hunger Gamesเป็นภาพยนตร์แนวแฟนตาซี โดยเนื้อเรื่องดำเนินโดย ระบบการปกครองที่เรียกกันว่า แคปปิตอล โดยปกครองทั้ง 12 เขต โดยแต่ละปีจะมีการจัดแข่งขันทางด้านการต่อสู้ โดยการต่อสู้นี้จะเป็นการเดิมพันที่คล้ายเกม โดยทั้ง 12 เขตนั้นจะต้องเลือกชายและหญิงออกมา 1 คู่ ใน1 เขตก็จะมีตัวแทน ละ 1 คู่ ออกมาต่อสู้กันเองรางวัลของผู้ที่ชนะหรือผู้ที่อยู่รอดเหลือคนสุดท้ายหรือคู่สุดท้ายนั้นก็คือผู้ชนะ และรางวัลคืออิสรภาพและความเป็นอยู่แบบปกติ แต่ภายในภาพยนตร์เรื่องนี้สื่อถึงอารมณ์ได้ชัดเจน ทุกคนที่เป็นผู้ถูกเลือกจากเขตต่างๆที่ออกมาสู้กันก็ต้องยอมรับระบบนี้เพราะระบบนี้เค้าทำกันมานานแล้ว จึงไม่มีใครที่จะกล้าล้มเลิกระบบในการต่อสู้นี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเราต้องไปลุ้นกันในภาพยนตร์ครับว่าเนื้อเรื่องจะเข้มข้นขนาดไหน และระบบที่ใช้กันมานานอย่างแคปปิตอลใช้ถูกล้มเลิกโดยใคร และจะมีใครต้องตายและใครที่จะอยู่รอดเป็นคนสุดท้ายต้องติดตามชมในThe Hunger Games          ภาพยนตร์เรื่องThe Hunger Gamesถึงแม้จะเป็นแนวแฟนตาซีแต่ก็ได้รับความสนุก ได้รับความบันเทิงเทิง และได้รับทั้งความรู้ที่หลากหลาย ถึงแม้ภาพยนตร์เรื่องนี้จะมีบางฉากที่ว่าดูน่าเบื่อเกินไป แต่โดยรวมแล้วภาพยนตร์เรื่องThe Hunger Gamesนี้ก็ทำออกมาได้ดีเลยทีเดียว สมแล้วที่สร้างรายได้อันมหาศาล เพราะต่างก็บอกกันปากต่อปากว่าภาพยนตร์เรื่องThe Hunger Gamesนี้มันสนุกและได้สาระประโยชน์จริงๆ เราขอฝากภาพยนตร์เรื่องThe Hunger Gamesนี้เอาไว้ในอ้อมกอดของคุณด้วยครับ หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับเว็บรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนังต่างประเทศเรื่องอื่นๆ เช่น รีวิว Pandora หนังเกาหลีที่จะทำให้คุณเข้าใจความเห็นแก่ตัวในสังคมมากขึ้น ได้อีกที่ filmograd.net

Isn’t It Romantic เมื่อคนที่ไม่เชื่อในความรักต้องกลายเป็นนางเอกหนังเหล่านั้นเอง

“คุณเคยดูหนังรักโรแมนติก แล้วฝันหวานไปกับมันไหม” คำถามนี้น่าจะชวนเปิดเรื่องได้ดีทีเดียว เพราะชีวิตของสถาปนิกสาวคนหนึ่งในหนังเรื่อง “Isn’t It Romantic” กำลังจะเปลี่ยนไปตลอดกาลจากความเชื่อที่แม่เธอฝังหัวของเธอตั้งแต่เด็กว่าความรักนิรันดร์ รักแท้ รักแรกพบอะไรพวกนั้นมันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ และไม่ควรเชื่อมันจากการดูหนังรักโรแมนติก ตั้งแต่วันนั้นฝันของเธอก็เหมือนแตกสลาย และ “นาตาลี” ก็ไม่เคยเชื่อในความรักอีกเลย ชีวิตการทำงานของเธอแม้จะไปได้ดีแต่เพื่อนร่วมงานที่เอาแต่มองว่าเป็นคนไม่มีค่า พวกเขาปฏิบัติต่อเธออย่างไม่ใยดี จนกระทั่งวันหนึ่งเธอได้พูดคุยกับชายคนหนึ่งตรงสถานีรถไฟ และเธอคิดว่าหรือบางทีควรจะลองเปิดใจดูดี แต่ทว่าเขาก็เป็นโจรที่จ้องจะขโมยกระเป๋าเธอเท่านั้น นาตาลีวิ่งไล่เขาไปจนตัวเองชนกับเสาอย่างเต็มแรงและสลบไป ฝืนขึ้นมาอีกทีก็พบว่าตัวเองอยู่โรงพยาบาลแล้ว แต่เรื่องราวน่าแปลกใจก็คือ คุณหมอที่มาดูอาการเธอดูจะหล่อแซ่บเกินกว่าจะเป็นหมอ และสภาพแวดล้อมโดยรอบที่ดูไม่เหมือนโรงพยาบาลจริง ๆ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย นิวยอร์กกลายเป็นเมืองสะอาดตั้งแต่เมื่อไร แล้วเสียงเพลงที่จู่ ๆ ก็ขึ้นมาไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยคืออะไร นี่มันไม่มีคำอธิบายอื่นแล้ว นอกจากว่าเธอกำลังติดอยู่ในหนังรักโรแมนติกที่เธอเกลียดยังไงล่ะ! ความคอมเมดี้ของหนังเรื่องนี้ไม่มากไปไม่น้อยไปถือว่าใส่มาได้แบบพอดี ๆ ดูเอาเพลิน ๆ อีกทั้งยังเห็นการล้อหนังรักในดวงใจหลายเรื่องซึ่งเป็นกิมมิกที่น่ารักทีเดียว มุกฮา ๆ ก็ใส่มาแบบไม่ยัดเยียดดูแล้วเป็นธรรมชาติดี อีกทั้งสิ่งที่ได้กลับมายังเป็นข้อคิดว่าสุดท้ายแล้วคนที่เราควรรักที่สุดไม่ใช่ใครอื่น นอกจากรักตัวเองและคอยใส่ใจดูแลตัวเองเสมอต่างหาก ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับหนัง “Isn’t It Romantic” ประเภท : โรแมนติก คอมเมดี้ ผู้กำกับ : ทอดด์ สเตราส์ ชุลสัน นักแสดงนำ : เรเบล วิลสัน,เลียม เฮมส์เวิร์ท,ปริยังกา โจปรา,อดัม ดีไวน์ ความยาว : 1 ชั่วโมง 29 นาที กำหนดฉาย : 13 กุมภาพันธ์ 2562 หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับเว็บรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนังต่างประเทศเรื่องอื่นๆ เช่น หนังครอบครัวเบาสมอง “Think Like A Dog” เหมาะกับดูช่วงวันหยุดกับคนที่คุณรัก ได้อีกที่ filmograd.net

Airplane Mode หนังรักกุ๊กกิ๊กของเด็กสาวที่ติดโลกโซเชียลโดยไม่รู้ผลเสียของมัน!

ต้องยอมรับว่าในยุคปัจจุบัน “โซเชียลมีเดีย” กลายเป็นสื่อกลางที่แสดงความคิดเห็นในความเป็นโลกในอุดมคติมากขึ้นเป็นอย่างสูง ทั้งการคาดหวัง การเลียนแบบ ในโลกโซเชียลก็มีให้เห็นอยู่ในทุกวันนี้ซึ่งนั่นก็เป็นผลเสียมากกว่าผลดีเพราะมันจะทำให้ผู้ใช้งานเกิดการยึดติดกับชีวิตที่แสนจอมปลอมได้ เหมือนกับเด็กผู้หญิงในหนังเรื่อง “Airplane Mode” ซึ่งเธอยกตัวเองเป็นเน็ตไอดอลคนดังซึ่งมีอิทธิพลในด้านแฟชั่นเป็นอย่างมาก ซึ่งพฤติกรรมการเสพติดมือถือของเธอทำให้เธอขับรถชนอยู่บ่อยครั้ง รวมถึงการปฏิสัมพันธ์กับครอบครัวที่ลดลงไปอย่างน่าใจหายนั่นนำไปสู่การตัดสินใจครั้งใหญ่ของผู้เป็นพ่อเป็นแม่ที่คิดจะให้เธอย้ายไปอยู่ชนบทกับคุณปู่ ซึ่งที่นั่นห่างไกลจากสัญญาณมือถือเพื่อหวังเป็นการบำบัดอาการของเธอให้ดียิ่งขึ้น ช่วงแรก ๆ เด็กสาวก็ไม่พอใจ และการที่เธอเสพติดการใช้งานอินเทอร์เน็ตก็ทำให้ดูเหมือนเธอไร้การใช้วิจารณญาณไปกับหลายเรื่องเลยทีเดียวเพราะเวลามันเดินไวไปหมด ไม่มีความมั่นคงหรือเสถียร ช่วงแรก ๆ ที่ต้องไปอยู่ชนบทโดยไม่ได้ใช้โทรศัพท์ก็เป็นเรื่องที่ทำใจได้ยากมาก แต่ยังโชคดีที่ได้เจอ “รักแรกพบ” หนุ่มเซอร์สุดหล่อผู้คว้าหัวใจของเด็กสาวไปตั้งแต่วินาทีแรกที่เจอกัน แม้ว่าเธอเพิ่งจะจบความสัมพันธ์กับแฟนหนุ่มมาได้ไม่นาน พ่อหนุ่มคนนี้ทำให้ชีวิตที่ไร้การไล่ตามของเธอมีความสุขมากขึ้น และมันก็ทำให้เธอมีเวลาที่จะได้พูดคุยกับตัวเอง รู้จัก และทำความเข้าใจตัวเองมากขึ้นกว่าแต่ก่อนที่เธอเอาแต่ทำตามคนอื่นอยู่เสมอ ส่วนตัวขึ้นว่าพล็อตหนังค่อนข้องราบเรียบไปบ้าง แต่ก็ดูเพลินดี แม้ว่าหลาย ๆ ฉากจะไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าที่ควร อีกทั้งการเห็นมิติของตัวละครเพียงด้านเดียวก็เป็นเรื่องที่ผิดหวังไปบ้าง เพราะหนังไม่ได้โชว์การพัฒนาของตัวละครเลย สิ่งที่ประทับใจน่าจะเป็นตัวนักแสดงที่ตีบทค่อนข้างแตกกระจุยแม้ว่าตัวบทจะไม่ได้เสริมมากนักก็ตาม ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับหนัง “Airplane Mode” ประเภท : โรแมนติก คอมเมดี้ ผู้กำกับ : Cesar Rodriguez นักแสดงนำ : Larissa Manoela,Andre Frambach,Elasmo Graloss ความยาว : 1 ชั่วโมง 35 นาที กำหนดฉาย : 23 มกราคม 2563 หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนังต่างประเทศเรื่องอื่นๆ เช่น “Nine Days” หนังสุดครีเอท เมื่อเทวดาหาคนมาเกิดใหม่ด้วยการ “สัมภาษณ์” ได้อีกที่ filmograd.net

หนังครอบครัวเบาสมอง “Think Like A Dog” เหมาะกับดูช่วงวันหยุดกับคนที่คุณรัก

หนังเบาสมองอย่าง “Think Like A Dog” จะกล่างถึงเรื่องราวของหนุ่มน้อยนักประดิษฐ์อย่าง “โอลิเวอร์” ที่ตั้งใจประดิษฐ์เครื่องอ่านความคิด แต่เมื่อนำเครื่องนี้ไปโชว์ที่งานโรงเรียนมันก็ล้มเหลวไม่เป็นท่าเพราะเกิดข้อขัดข้องทางเทคนิค ทำให้เครื่องไม่สามารถทำงานได้ จนทำให้เขารู้สึกขายหน้ามาก ๆ เมื่อกลับมาถึงบ้านโอลิเวอร์จึงตัดสินใจทดลองกับสุนัขที่เป็นเหมือนเพื่อนสนิทของเขาอีกคนอย่าง “เฮนรี่” และได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนทางไกลที่เป็นชาวจีน ช่วยให้แฮกดาวเทียมของจีนได้สำเร็จ ทำให้สิ่งประดิษฐ์ของเขามีความก้าวหน้าและพัฒนาจนมันใช้งานจริงได้ ซึ่งการที่พวกเขาทำการแฮกดาวเทียมของจีนก็ทำให้รัฐบาลพยายามสืบหาและต้องการจับตัวเขา ส่วนเรื่องสิ่งประดิษฐ์สุดล้ำก็ไปเข้าหูเจ้าของบริษัทตัวร้ายที่มองว่ามันต้องเป็นเครื่องผลิตเงินให้เขาในอนาคตจึงวางแผนที่จะขโมยมันจากเด็ก ๆ  ด้วยความที่เป็นหนังดูง่าย สบาย ๆ ปมเรื่องจึงไม่ได้สลับซับซ้อนมาก การที่อ่านความคิดของน้องเฮนรี่ได้ก็เป็นเหมือนตัวช่วยในการแก้ปัญหาในชีวิตของโอลิเวอร์ได้อย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งประเด็นที่พ่อแม่ของเขากำลังจะเลิกกัน หรือแม้กระทั่งการที่เขาไม่กล้าชวนสาวที่แอบหมายปองไปงานก็ตาม แม้มันจะดูง่ายดายไร้ซึ่งอุปสรรคไปเสียหน่อย แต่ก็ทำให้เรื่องราวไม่จืดชืดด้วยความสนุกปนฮาในการพยายามขโมยจากฝั่งตัวร้ายที่ทำออกมาได้ดีระดับหนึ่งเลยทีเดียว นอกจากนั้นเรายังเห็นประเด็นเล็ก ๆ เกี่ยวกับความรักความอบอุ่นในครอบครัว มิตรภาพระหว่างคนกับสัตว์เลี้ยง และแรงสนับสนุนในการทำความฝันของเด็ก ๆ  อย่างที่กล่าวมาข้างต้นว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ดูเอาสบายเสพความบันเทิงเป็นหลัก ทำให้ความคาดหวังไม่ได้มากเท่าหนังเรื่องอื่น ๆ แต่ก็มีข้อควรพิจารณาอย่างเช่น การที่ควรเสริมความโดดเด่นให้น้องสุนัขมากขึ้นกว่านี้ เพราะทำให้เกิดแรงดึงดูดจากผู้ชมได้มากขึ้น ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับหนังเบาสมองอย่าง “Think Like A Dog” ประเภท : ดราม่า ไซไฟ ผู้กำกับ : กิล จังเจอร์ นักแสดงนำ : เกเบรียล เบตแมน,เมแกน ฟอกซ์,จอช เดอเมล,นีโอ โฮ ความยาว : 1 ชั่วโมง 35 นาที กำหนดฉาย : 23 กรกฎาคม 2563 หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนังต่างประเทศเรื่องอื่นๆ เช่น รีวิว Pandora หนังเกาหลีที่จะทำให้คุณเข้าใจความเห็นแก่ตัวในสังคมมากขึ้น ได้อีกที่ filmograd.net

รีวิว Pandora หนังเกาหลีที่จะทำให้คุณเข้าใจความเห็นแก่ตัวในสังคมมากขึ้น

“ความเห็นแก่ตัว” ไม่เคยมีประวัติศาสตร์หน้าไหนจารึกเอาไว้ว่าเป็นสิ่งที่ทำให้สังคมเกิดความสงบหรือเกิดผลดีใด ๆ อย่างยิ่งในเหตุการณ์ฉุกเฉินที่เราทุกคนควรที่จะให้การช่วยเหลือกันและกันเสียมากกว่า เหมือนกับภาพยนตร์แนวเอาตัวรอดสัญชาติเกาหลีเรื่อง “Pandora” นี้ ที่เปิดฉากตอนแรกของเรื่องมาด้วยการระเบิดครั้งใหญ่ของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซึ่งก็ส่งผลให้เกิดสารกัมมันตภาพรังสีรั่วไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดการล้มตายของผู้คนและสิ่งมีชีวิตโดยรอบ ความน่าหดหู่ใจนั้นมองเห็นได้ตั้งแต่ต้นเพราะเราจะเห็นภาพของผู้คนต่างเป็นห่วงแต่ชีวิตของตัวเองเต็มไปหมด ไม่มีใครพร้อมที่จะเสียสละเลยสักคนเดียว ร้ายที่สุดคือผู้นำประเทศที่เอาแต่กลัวว่าเศรษฐกิจของประเทศจะเสื่อมถอยจึงเลือกจะปกปิดข่าวนี้เอาไว้ นั่นจึงนำมาซึ่งความเลวร้ายมากขึ้นเป็นทวีคูณ ตลอดเวลา 2 ชั่วโมงกว่า ๆ ของหนังอัดแน่นไปด้วยความลุ้นระทึก ไม่จำเป็นต้องมีฉากสัตว์ประหลาดหรือสิ่งมีชีวิตสุดสยองนอกโลกเพราะการหนีกัมมันตภาพรังสีก็เป็นเรื่องน่ากลัวมาก ๆ ไม่ต่างกันเลย เผลอ ๆ จะน่ากลัวกว่าด้วยเพราะหนียังไงมันก็หนีไม่พ้นอยู่ดี ตอนดูรู้สึกเลยว่าเวลาผ่านไปเร็วมากเรียกได้ว่าหนังได้อุดรอยต่อทั้งหมดได้ดี ไม่มีช่วงไหนที่เอื่อยเกินไปจนน่าเบื่อเลย อีกทั้งฉากการเสียสละช่วงหลังหรือฉากการเสียชีวิตต่าง ๆ ของผู้คนอย่างเลี่ยงไม่ได้ก็รีดน้ำตาของผู้ชมอย่างเราไปอย่างหมดบ่อน้ำตากันเลยทีเดียว ถือเป็นหนังเศร้าที่ได้ใจไปเต็ม ๆ  หนังเรื่องนี้เป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่ทำให้เราได้มองเห็นความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ได้อย่างเด่นชัด และทำให้รู้อีกว่าการเห็นแก่ตัวนั้นไม่มีประโยชน์เลย ทั้งยังจะนำพาให้ทุกคนตายกันจนหมดอีก ฉะนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการมีสติในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของทุกคนมากกว่าที่พึงมีต่อเหตุการณ์ที่ต้องประสบพบเจอ เรื่องโปรดักชันต่าง ๆ เกาหลีก็ทำออกมาได้ยิ่งใหญ่น่าประทับใจดังเห็นได้จากหนังแนวนี้บ่อย ๆ นักแสดงตีบทแตกและถือเป็นการพิสูจน์ฝีมือการแสดงที่ประสบความสำเร็จมากเลยทีเดียว ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับหนัง “Pandora” ประเภท : กระตุกขวัญ,ดราม่า ผู้กำกับ : พัก ช็อง-วู นักแสดงนำ : คิมนัมกิล,คิมจูฮยอน,มูนจองฮี,คิมมยองมิน ความยาว : 2 ชั่วโมง 16 นาที กำหนดฉาย : 7 ธันวาคม 2559 หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนังต่างประเทศเรื่องอื่นๆ เช่น The War with Grandpa สงครามชิงเตียงนอนระหว่างหลานสุดซ่ากับคุณปู่รุ่นเก๋า ได้อีกที่ filmograd.net

“Nine Days” หนังสุดครีเอท เมื่อเทวดาหาคนมาเกิดใหม่ด้วยการ “สัมภาษณ์”

Nine Days หนังขายไอเดียสุดครีเอท ที่จับเอาความเชื่อเรื่องสวรรค์และการเวียนว่ายตายเกิดเข้ากับพล็อตหนังดราม่าจนบังเกิดเป็นไอเดียที่แปลกและแหวกแนวสุด ๆ ที่ว่าด้วย “เทวดา” ผู้หนึ่งที่คอยทำหน้าที่คัดเลือกดวงวิญญาณที่จะได้ลงไปเกิดใหม่ด้วยการ “สัมภาษณ์” และทดสอบความบริสุทธิ์ของดวงวิญญาณเหล่านั้น แน่นอนว่าNine Daysจะเปี่ยมไปด้วยประเด็นดราม่าสุดเข้มข้นของเหล่าดวงวิญญาณร้อยแปดพันเก้าที่พร้อมทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองได้ไปเกิดใหม่ Nine Days หนังขายไอเดียสุดครีเอท Nine Daysกำกับโดย “เอ็ดสัน โอดะ” เปิดตัวที่เทศกาลหนังซันแดนซ์เมื่อต้นปีที่ผ่านมา โดยหนังเรื่องNine Daysเป็นผลงานการกำกับภาพยนตร์เรื่องแรกของ เอ็ดสัน โอดะ (Edson Oda) ผู้กำกับเชื้อสายญี่ปุ่น-บราซิล ที่มีชื่อเสียงด้านการกำกับมิวสิควิดีโอและโฆษณามาก่อน นอกจากนี้Nine Daysยังได้นักแสดงดังสมทบกันอย่างคับคั่ง ไม่ว่าจะเป็น บิลล์ สการ์สการ์ด (Bill Skarsgård) จาก IT ภาค 1-2 (2017-2019), ซาซี่ บีตซ์ (Zazie Beetz) จาก Joker (2019), เบเนดิคท์ หว่อง (Benedict Wong) จาก Dr. Strange (2016) และ วินสตัน ดุ๊ก (Winston Duke) จาก Black Panther (2018) โดยNine Daysเล่าเรื่องราวของ “วิล” (Winston Duke) เทวดาผู้ทำหน้าที่คัดเลือกดวงวิญญาณที่เหมาะสมจะได้กลับไปเกิดใหม่บนโลกมนุษย์ด้วยการ “สัมภาษณ์” ซึ่งเขามีเวลาเพียง 9 วันเพื่อฟันธงว่าวิญญาณดวงไหนคู่ควรจะได้รับสิทธิ์นั้น ส่วนวิญญาณที่ไม่ถูกคัดเลือกก็จะสลายไป แต่วิลต้องคิดหนักเมื่อเขาได้พบกับ “เอ็มม่า” (Zazie Beetz) วิญญาณที่แตกต่างไม่เหมือนกับวิญญาณดวงอื่น จนเกิดเป็นเรื่องราวสุดดราม่าที่วิลมีเวลาเพียงแค่ 9 วันเท่านั้นเพื่อตัดสินใจเลือกอะไรบางอย่าง  ทั้งนี้Nine Daysเปิดฉายรอบปฐมทัศน์ไปแล้วที่งานเทศกาลหนังซันแดนซ์ตอนต้นปี แถมยังได้รับคำวิจารณ์บนเว็บมะเขือเน่า (Rotten Tomatoes) สูงถึง 86% เลยทีเดียว แต่สำหรับใครที่อยากดูอาจจะต้องอดใจรอสักเล็กน้อย เพราะยังไม่มีข้อมูลว่ามีใครซื้อเข้ามาฉายในเมืองไทยหรือไม่ หรือจะฉายเมื่อไหร่ ซึ่งเราก็หวังว่าจะมีผู้ใหญ่ใจดีซื้อเข้ามาฉายในเร็ววันนี้  หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนังต่างประเทศเรื่องอื่นๆ เช่น เมื่อ “บัสเตอร์ คีตัน” ได้รับบาดเจ็บในหนังเรื่องเชอร์ล็อคจูเนียร์ ได้อีกที่ filmograd.net

เมื่อ “บัสเตอร์ คีตัน” ได้รับบาดเจ็บในหนังเรื่องเชอร์ล็อคจูเนียร์

ขึ้นชื่อว่าเป็นภาพยนตร์ตลกในยุคก่อนแล้วก็คงหนีไม่พ้นฉากการขว้างพายต่างๆ หรือจะเป็นมุกเจ็บตัวที่อาจทำให้เลอะเทอะบ้าง แต่ทว่าสำหรับ บัสเตอร์ คีตัน แล้ว เขากลับมีแนวทางการแสดงที่ต่างไปจากคนอื่นทั้งการเสี่ยงตายและมีฉากที่ใช้จังหวะความพอดีอย่างมาก รวมถึงการใช้ความสามารถของร่างกายที่ทำให้เขามีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก จนกระทั่งในเรื่องเชอร์ล็อคจูเนียร์ที่เขาต้องประสบอุบัติเหตุจนต้องพักรักษาตัวเลยทีเดียว “บัสเตอร์ คีตัน” กับอุบัติเหตุในหนังเรื่องเชอร์ล็อคจูเนียร์ สำหรับเรื่องราวภาพยนตร์ตลกของบัสเตอร์ คีตันที่ชื่อเชอร์ล็อคจูเนียร์นั้นจะเกี่ยวข้องกับเจ้าตัวที่รับบทเป็นภารโรงและเจ้าหน้าที่ฉายภาพยนตร์ในโรงหนังและตกลงหลุมรักผู้หญิงคนหนึ่งพร้อมกับซื้อขนมให้แก่คนรัก แต่ทว่าเจ้าตัวกลับมีคู่แข่งที่ชื่อชีคมาขัดขวางและใส่ร้ายเขาด้วยการขโมยของจากพ่อคนรักพร้อมแอบนำไปใส่กระเป๋าจนโดนเข้าใจผิดในที่สุด ซึ่งทางภารโรงคนนี้จะต้องไขคดีให้ได้ โดยฉากที่ทำให้บัสเตอร์ คีตันได้รับอาการบาดเจ็บถึงขั้นคอหักระหว่างถ่ายทำก็คือตอนที่เขาได้พยายามหนีออกจากรถไฟผ่านการเดินบนหลังคา ก่อนที่จะกระโดดจับเชือกของแทงค์เก็บน้ำริมทางจนกระทั่งน้ำจำนวนมหาศาลได้เทลงใส่เขาอย่างจังและทำให้เขาตกลงไปกระแทกกับหมอนรถไฟสลบไปทันที ซึ่งอาการบาดเจ็บทำให้เขาปวดหัวกว่าหลายสัปดาห์และต้องหยุดการถ่ายทำไปพักหนึ่งเลยทีเดียว หลังจากที่บัสเตอร์ คีตันถ่ายภาพยนตร์เรื่องเชอร์ล็อคจูเนียร์ได้สำเร็จ อีก 9 ปีต่อมาทางทีมแพทย์จะได้ตรวจร่างกายของเขาและพบว่าอุบัติเหตุครั้งนั้นทำให้คอของเขาทันที โดยที่เจ้าตัวไม่รู้มาก่อนและต้องใช้เวลาในการตัดต่อยาวกว่าปกติกว่าที่ภาพยนตร์เรื่องสั้นจะเสร็จสมบูรณ์ภายในสี่เดือนนั่นเอง หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนังต่างประเทศเรื่องอื่นๆ เช่น The War with Grandpa สงครามชิงเตียงนอนระหว่างหลานสุดซ่ากับคุณปู่รุ่นเก๋า ได้อีกที่ filmograd.net

The War with Grandpa สงครามชิงเตียงนอนระหว่างหลานสุดซ่ากับคุณปู่รุ่นเก๋า

The War with Grandpa มีชื่อไทยสุดครีเอทว่า “ถ้าปู่แน่ ก็มาดิครับ” ถือเป็นหนังที่มีที่มาสุดแปลกเรื่องหนึ่งเลยก็ว่าได้ เพราะจุดเริ่มต้นของโปรเจ็คนี้เกิดจากเด็กน้อยอายุเพียง 11 ปีที่ชื่อ ธี เพิร์ธ ได้อ่านหนังสือนอกเวลาเรื่องThe War with Grandpaที่โรงเรียนประถมแล้วเกิดประทับใจจนอยากชมเวอร์ชันภาพยนตร์ เขาจึงทำเหมือนที่เด็กทุกคนทำนั่นคือร้องกระจองงอแงบอกพ่อแม่ถึงสิ่งที่ตัวเองต้องการ แต่มันพิเศษตรงที่ พ่อแม่ของเขาคือ มาร์วิน เพิร์ธ (Marvin Peart) และ โรซ่า เพิร์ธ (Rosa Peart) สองโปรดิวเซอร์ภาพยนตร์ชื่อดังของวงการ จนเป็นที่มีของหนังThe War with Grandpaนั่นเอง  The War with Grandpa ได้นักแสดงรุ่นใหญ่อย่าง “โรเบิร์ต เดอ นีโร” มารับบทคุณปู่! ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าหนังเล็ก ๆ ทุนต่ำ อย่างThe War with Grandpaจะได้นักแสดงรุ่นใหญ่บารมีเหลือล้นอย่าง โรเบิร์ต เดอ นีโร (Robert De Niro) มารับบทคุณปู่ซึ่งเป็นตัวละครสำคัญของเรื่อง ส่วนนักแสดงที่มารับบท “หลาน” หรือ “ปีเตอร์” คู่ปรับของคุณปู่ในเรื่องได้แก่นักแสดงเด็กอย่าง โอ๊คส์ เฟกลีย์ (Oakes Fegley) ที่เคยมีผลงานใหญ่อย่าง Pete’s Dragon (2016) โดยThe War with Grandpaได้ ทิม ฮิลล์ (Tim Hill) ผู้กำกับที่เคยผ่านหนังแอนิเมชั่นและหนังเด็กมาแล้วนับไม่ถ้วน แต่ที่สุดจัดยิ่งไปกว่านั้นThe War with Grandpaยังมีชื่อ ธี เพิร์ธ ลูกชายวัย 11 ปีของสองโปรดิวเซอร์ที่เป็นตัวตั้งตัวตีของภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นหนึ่งใน “โปรดิวเซอร์” อย่างเป็นทางการของโปรเจ็คด้วย ทำให้เขาได้ชื่อว่าเป็นโปรดิวเซอร์ภาพยนตร์ที่อายุน้อยที่สุดเท่าที่เคยมีมา!  The War with Grandpaว่าด้วยเรื่องราวของ ปีเตอร์ (Oakes Fegley) ที่ถูกพ่อแม่บังคับให้ต้องสละห้องนอนสุดรักให้กับ “คุณปู่” (Robert De Niro) อย่างไม่เต็มใจนัก จนทำให้เขาต้องทำทุกวิถีทางเพื่อแย่งชิงห้องนอนของตัวเองคืนมาให้ได้ โดยมีเพื่อน ๆ เป็นกำลังหนุน แต่ทางด้านคุณปู่ก็ไม่ยอมง่าย ๆ จนเป็นที่มาของมหาสงครามแย่งชิงห้องนอนที่ทั้งปู่และหลานฟาดฟันกันอย่างดุเดือด  แค่ดูจากเรื่องย่อก็บอกได้คำเดียวว่านี่เป็นหนังที่เหมาะกับการไปดูเป็นครอบครัว แถมยังเป็นหนังครอบครัวฟิลกู้ดที่หายากในยุคนี้เพราะส่วนใหญ่หนังแนวนี้มักถูกแทนที่ด้วยหนัง “บล็อกบัสเตอร์” จนทำให้หนังครอบครัวหายหน้าหายตาไปจากโลกภายนตร์  สำหรับใครที่อยากชมThe War with Grandpaอาจจะต้องเช็คว่าโรงภาพยนตร์ใกล้บ้านท่านมีเข้าฉายหรือไม่ เพราะThe War with Grandpaเป็นค่อนข้างเป็นหนังทางเลือกที่ไม่ค่อยมีคนจับตามองมากนัก  หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนังต่างประเทศเรื่องอื่นๆ เช่น “แจ็คกี้ คูแกน” ดาราเด็กที่ห่างหายไปจากวงการสู่ลุงเฟสเตอร์ จากอดัมส์แฟมิลี่ ได้อีกที่ filmograd.net

“แจ็คกี้ คูแกน” ดาราเด็กที่ห่างหายไปจากวงการสู่ลุงเฟสเตอร์ จากอดัมส์แฟมิลี่

ในปี 1921 นั้นถือว่าเป็นปีทองของเด็กชายตัวน้อยที่ชื่อว่า แจ็คกี้ คูแกน หลังจากที่เจ้าตัวมีโอกาสได้แสดงภาพยนตร์ร่วมกับชาร์ลี แชปลินในเรื่องเดอะคิด จนทำให้เขามีชื่อเสียงโด่งดังเป็นอย่างมาก จนกระทั่งมีผลงานออกจากโทรทัศน์และสินค้าต่างๆ มากมาย ก่อนที่เขาจะประสบปัญหาชีวิตส่วนตัวและหายไปจากวงการพร้อมกับมาอยู่ในวงการแสดงอีกครั้งในฐานะลุงเฟสเตอร์จากอดัมส์แฟมิลี่นั่นเอง “แจ็คกี้ คูแกน” จากดาราเด็กสู่ลุงเฟสเตอร์ สำหรับผลงานเรื่องแรกที่แจ็คกี้ คูแกนได้ร่วมงานกับชาร์ลี แชปลินก็คือเรื่องอะเดย์เพลสเชอร์จากความสามารถที่เขาสามารถเลียนแบบคนอื่นในกองถ่ายได้นั่นเอง จนกระทั่งเขาได้รับบทเป็นจอห์นในเรื่องเดอะคิด ซึ่งเป็นเด็กที่ถูกทิ้งไว้หน้าบ้านมหาเศรษฐีแต่เหตุการณ์กลับพลิกผันจนต้องไปอยู่กับพระเอกร่างเล็กในที่สุด โดยภาพยนตร์เรื่องนี้เองที่ทำให้เขาโด่งดังและเป็นพรีเซนเตอร์ให้ของใช้มากมายเลยทีเดียว ในช่วงที่แจ็คกี้ คูแกนเริ่มโตขึ้นมาแล้วนั้น เจ้าตัวก็ต้องพบความจริงว่าตัวเองต้องหยุดงานแสดงเพื่อไปสนใจเรื่องการเรียนหนังสือมากขึ้น จนกระทั่งช่วงอายุ 20 ปีที่เขาได้รู้ความจริงว่าเงินที่เคยได้จากการแสดงนั้นกลับถูกแม่และพ่อบุญธรรมนำเงินไปใช้เกือบทั้งหมดและต้องเหลือเงินอยู่เพียงแสนดอลลาร์จากสี่ล้านเลยทีเดียว ก่อนที่สุดท้ายจะเป็นทางชาร์ลี แชปลินที่ได้ให้ความช่วยเหลือเขาในเวลาต่อมา หลังจากที่คูแกนออกจากวงการบันเทิงไปหลายปี เขาก็กลับมาสู่หน้าจอโทรทัศน์อีกครั้งด้วยบทบาทของลุงเฟสเตอร์ประจำครอบครัวอดัมส์ที่เคยเป็นการ์ตูนดังมาก่อน จนกลายเป็นภาพจำสำหรับแฟนๆ ในยุค 60 พร้อมกับได้แสดงในซีรีย์นี้ถึง 64 ตอนด้วยกัน ก่อนจะลาออกจากวงการนี้ไปอีกครั้งในปี 1980 หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนังต่างประเทศเรื่องอื่นๆ เช่น ฮิตติดกระแส Netflix : The Meg โครตฉลามพันล้านปี หนังเด็ดฟอร์มยักษ์ ได้อีกที่ filmograd.net

ฮิตติดกระแส Netflix : The Meg โครตฉลามพันล้านปี หนังเด็ดฟอร์มยักษ์

จากตำนานความเชื่อ และมุมมองด้านวิทยาศาสตร์ผนวกให้เกิดเป็นเรื่องราวของฉลามยักษ์ที่มนุษย์เชื่อว่าได้สูญพันธุ์ไปแล้วกว่า 200 ล้านปีมาแล้ว แต่ในเรื่องราวของ The Meg อาจทำให้ความเชื่อเหล่านั้นสั่นครอนก็เป็นได้ เมื่อทีมสร้างโปรดักชักใหญ่ที่ทุ่มทุนสร้างความอลังการได้หยิบยกตัวละครเอกจากนวนิยาย เรื่อง Meg : A Novel of Deep Terror อย่าง “โจนาส เทย์เลอร์” อดีตนาวิกโยธินเรือดำน้ำฝีมือฉมังที่ต้องมีปมในใจจากการไม่สามารถช่วยเพื่อนในทีมให้รอดชีวิตได้ และทำให้ภารกิจของเขาล้มเหลว โจนาสเลือกที่จะใช้ชีวิตอย่างสบาย ๆ ที่ประเทศไทย แต่แล้วก็เกิดเหตุที่ทำให้เขาต้องกลับเข้าไปยังวงการนี้อีกครั้ง เมื่อนักธุรกิจคนหนึ่งได้ริเริ่มโครงการการสำรวจใต้ร่องสมุทรมาเรียน่า นอกชายฝั่งประเทศจีน แต่ทีมนักสำรวจเจอปัญหาเมื่อพวกเขาส่งเรือดำน้ำออกไปสำรวจบริเวณดังกล่าวได้รับการโจมตีจากสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ ที่พวกเขาเชื่อว่าเป็นเจ้าฉลามยักษ์ในตำนานอย่าง “เมกาโลดอน” แม้ว่าโจนาสจะเข้าไปช่วยเหลืออย่างไม่ค่อยเต็มใจเนื่องจากมีปัญหาบาดหมางกับแพทย์ประจำสถานีก็ตาม แต่สุดท้ายเขาก็ก้าวเข้าไปสู่อันตรายในครั้งนี้ ด้วยความที่หนังประเภทวิกฤตการณ์ การเอาตัวรอดของมนุษย์มักจะได้รับความนิยมสูงอยู่แล้ว แต่มันก็มีจุดที่ยากมากในการเดินเรื่องคือการสร้างให้ตัวสัตว์ประหลาดนั้นมีความสมจริง เพื่อช่วยให้ผู้ชมเชื่อถึงพลังและอำนาจการทำลายล้างของมัน รวมถึงจะได้ลุ้นระทึกไปกับตัวละครต่าง ๆ ว่าพวกเขาจะสามารถเอาตัวรอดจากมหันตภัยในครั้งนี้ไปได้หรือไม่ อีกทั้งเรียกว่าเป็น “สูตรสำเร็จ” เลยก็ว่าได้ที่หนังแนวนี้จะสร้างให้พระเอกของเราเนี่ยมีความสามารถสูง บางทีก็สูงเกินยอดมนุษย์ไปอีก แต่ก็นะหนังแนวนี้เขาต้องการฮีโร่ในการช่วยเหลืออยู่แล้ว สำหรับเรื่อง The Meg มีข้อพิจารณาส่วนที่เป็นบท ส่วนตัวคิดว่ายังขาดความสมเหตุสมผล การรับกันของเหตุการณ์ และการโยงเรื่องต่าง ๆ ในเรื่องนี้มุ่งเน้นไปที่การสร้างความบันเทิง ความลุ้น ความตื่นเต้น เต็มตา เป็นส่วนใหญ่มากกว่า ส่วนเรื่องความสยองเลือดสาดบอกเลยว่าเบามาก ๆ คงเพราะไม่อยากให้หนังกลายเป็น Rate R จะได้เจาะตลาดกว้างมากขึ้นได้ ทั้งประเทศจีนและประเทศไทยเป็นหลัก ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับหนัง The Meg ประเภท : แอ็คชั่น/ไซไฟ ผู้กำกับ : จอห์น เทอร์เทิลท็อบ นักแสดงนำ : เจสัน สเตธัม,รูบี้ โรส,หลี่ ปิงปิง,เรนน์ วิลสัน ความยาว : 1 ชั่วโมง 52 นาที กำหนดฉาย : 2561 หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนังต่างประเทศเรื่องอื่นๆ เช่น รีวิว ผีอยู่ในผม (0.0 Mhz) จากเว็บตูนสุดโด่งดัง กลายมาเป็นหนังผีสุดหลอน ได้อีกที่ filmograd.net