รีวิว Fantasy Island (เกาะสวรรค์ เกมนรก) กับหนังที่ไปไม่สุดเลยสักทาง

หลายๆคนคงจะคุ้นชินกับเรื่องราวของ “เกาะสวรรค์” ที่เบื้องหลังมันไม่ได้สุขสบายอย่างที่ทุกคนคิดกันมาบ้างแล้วใช่ไหม? เพราะจริงๆแล้วเรื่องราวประเภทนี้มันมีกระแสมานานมากแล้วแหละ แต่เพียงกระแสมันค่อนข้างที่จะเงียบไปเมื่อหลายปีที่แล้ว ซึ่งในวันนี้แอดจะพาทุกคนมาหวนไปนึกถึงความหลังกันกับ รีวิว Fantasy Island (เกาะสวรรค์ เกมนรก) กันเลย ชื่อเรื่อง : “Fantasy Island” (เกาะสวรรค์ เกมนรก) แนว : สยองขวัญเหนือธรรมชาติ นักแสดง : Michael Peña, Maggie Q, Lucy Hale, Austin Stowell, Portia Doubleday, Jimmy O. Yang, Ryan Hansen, Michael Rooker บทภาพยนตร์ : Jeff Wadlow, Chris Roach, Jillian Jacobs ผู้กำกับ : Jeff Wadlow ค่าย : Sony Pictures Releasing วันฉาย : 14 กุมภาพันธ์ 2020 เวลา : 01 ชั่วโมง 49 นาที IMDb : 4.9 เรื่องย่อ เรื่องราวของกลุ่มผู้โชคดีกลุ่มหนึ่งที่ชนะเกมชิงรางวัล และได้รับรางวัลเป็นที่พักและการใช้ชีวิตบนเกาะลึกลับแห่งหนึ่งที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเกาะสวรรค์ดีๆนี่เอง ซึ่งพวกเขาทุกคนนั้นสามารถที่สามารถที่จะขอพรได้คนละ 1 ข้อ เพื่อบรรลุความปารถนาของตัวเองให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขความผิดพลาดในอดีต หรือแม้แต่การแก้แค้นจากอะไรก็แล้วแต่ เพียงแต่การขอพรนั้นอาจจะแลกมาด้วยชีวิตของพวกเขาเองก็เป็นได้ รีวิว Fantasy Island เอาจริงๆกับพล็อตหนังเรื่องนี้แอดว่ามันเป็นพล็อตเรื่องที่โอเคในระดับหนึ่งเลยนะ แต่เพียงแอดรู้สึกว่ามันยังไม่ค่อยสุดสักเท่าไร เพราะเนื้อเรื่องมันสามารถที่จะแตกแขนง หรือเล่าขยายออกไปได้มากกว่านี้อีกเยอะเลย ซึ่งจริงๆแล้วแนวของหนังเรื่องนี้อย่างที่เราเห็นจากเรื่องย่อแล้ว หลายๆคนก็คงคิดว่ามันน่าจะเป็นหนังแนวเอาตัวรอด และหวังว่าจะมีฉากไล่ฆ่าที่มันดุเดือดหน่อยใช่ไหม แอดต้องขอบอกว่าหนังเรื่องนี้มันอาจจะไม่ได้มีมีอะไรแบบนั้นสักเท่าไร อีกทั้งการเล่าเรื่องยังออกจะสะเปะสะปะ ไปเรื่องโน้นที เรื่องนี้ที เรียกได้ว่าเป็นการเล่าเรื่องที่ทำให้คนดูอย่างเราเบื่อได้เลยล่ะ แล้วไหนจะความอึดอัดตามนักแสดงที่ดูแล้วรู้สึกเหมือนมันไม่ค่อยเป็นธรรมชาติเท่าที่ควรเลย ตัวอย่าง หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนังต่างประเทศเรื่องอื่นๆ เช่น รีวิว Johnny English Strikes Again กับการกลับมาของสายลับรุ่นใหญ่ ได้อีกที่ filmograd.net

รีวิว ครอบครัวข้างบ้าน (American Murder: The Family Next Door)

ในยุคสมัยแบบนี้การหยิบยกเรื่องราวในชีวิตจริงของใครสักคน แล้วเอามาเล่าในรูปแบบของหนังที่ทำเป็นสารคดีกำลังเป็นที่นิยมเป็นอย่างมากเลย โดยเรื่องที่ถูกพูดถึงเป็นอย่างมากเมื่อเร็วๆนี้เอง ก็คงหนีไม่พ้นสารคดีที่เกี่ยวกับการแช่แข็งลูกสาวที่เสียชีวิตไปก่อนเวลาอันควรอย่าง “Hope Frozen” (ความหวังแช่แข็ง: ขอเกิดอีกครั้ง 2018) นั่นเอง แต่วันนี้แอดจะพาทุกคนมาดูสารคดีเรื่องอีกเรื่องหนึ่งอย่าง รีวิว ครอบครัวข้างบ้าน (American Murder: The Family Next Door) กันเลยดีกว่า ชื่อเรื่อง : “ครอบครัวข้างบ้าน” (American Murder: The Family Next Door) แนว : สารคดี ผู้กำกับ : Jenny Popplewell ค่าย : Netflix วันฉาย : 30 กันยายน 2020 เวลา : 01 ชั่วโมง 22 นาที IMDb : 7.2 เรื่องย่อ สารคดีเรื่องนี้จะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับคดีอาชญากรรมสุดสะเทือนขวัญเมื่อปี 2018 ที่ผ่านมา เมื่อหญิงสาวในครอบครัวหนึ่งที่กำลังตั้งท้องค้นพบว่าลูกสาววัยเด็กทั้ง 2 คนของเธอได้หายตัวไปจากบ้านอย่างไร้ร่องรอย อีกทั้งสามีของเธอก็ตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีดังกล่าวนี้ เรื่องราวมันยิ่งยากขึ้นไปอีกเมื่อคนที่ทำจริงๆนั้นมีการปิดบังอำพรางคดีได้อย่างดีเยี่ยม รีวิว ครอบครัวข้างบ้าน (American Murder: The Family Next Door) ต้องบอกก่อนเลยว่า สารคดีเรื่องนี้ไม่ได้ให้ความรู้สึกที่อบอวล หรือเต็มไปด้วยความรักอย่างเรื่อง Hope Frozen หรอกนะ แต่ออกจะเป็นสารคดีที่เจาะลึกไปที่เรื่องราวของคดีอาชญากรรมสะเทือนขวัญซะมากกว่า กับเรื่องราวของครอบครัวที่ภายนอกดูเหมือนจะดีไปหมดทุกอย่าง แต่ความจริงแล้วมันจะอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่ทุกคนเห็นก็เป็นได้ ซึ่งเรื่องนี้มันสอนให้เรารับรู้ได้ว่า เราไม่ควรมองใครที่ภายนอก หรือดูจากตามสื่อโซเชียลได้เลย เพราะเรื่องแบบนี้มันเป็นอะไรที่ใครก็สามารถแสดงออกมาให้ดูดีได้กันทั้งนั้น โดยสารคดีเรื่องนี้ได้ใช้ลำดับการเล่าเรื่องได้เหมือนกับเราดูหนังปกติทั่วไปเรื่องหนึ่งเลย อีกทั้งสารคดีเรื่องนี้ยังใช้เรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงมาเล่าให้ผู้ชมอย่างเรารับชม โดยที่ไม่มีการสร้างเหตุการณ์จำลองเลยด้วย แต่ด้วยความที่เอาเรื่องจริงมาเล่าทั้งหมดโดยที่ไม่มีการจำลองเหตุการณ์เลย มันก็อาจจะส่งผลให้ผู้ชมอย่างเราอาจจะเห็นภาพไม่ค่อยชัดเจนสักเท่าไร ตัวอย่าง หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนัง Netflix เรื่องอื่นๆ เช่น รีวิว Hubie Halloween (ฮูบี้ ฮาโลวีน) ไปกับการสุขสันต์วันปล่อยผี ได้อีกที่ filmograd.net

รีวิว The Last Summer กับหนังรักที่จะชวนให้คุณคิดถึงวัยเรียนเป็นอย่างมาก

เคยเป็นกันไหม? ที่อยู่ดีๆบางทีเราก็อดคิดถึงเรื่องราวในสมัยเรียนเป็นไม่ได้ เรียกได้ว่าช่วงนั้นเป็นวัยที่เราสามารถสนุกสุดเหวี่ยงกันได้แบบเต็มที่ โดยไม่ต้องมานั่งคิดอะไรมากมายเลย และในวันนี้เราจะพาทุกคนมาหวนรำลึกถึงอดีตที่หอมหวานกันอีกครั้งใน รีวิว The Last Summer หนังที่ให้ข้อคิดกับเราในเรื่องของเวลาได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว เพราะเวลามันเป็นอะไรที่ผ่านไปเร็วมาก และมันก็ยังเป็นสิ่งที่เราก็ไม่สามารถที่จะย้อนกลับไปแก้ไขหรือทำอะไรกับมันได้อีกต่อไป ชื่อเรื่อง : “The Last Summer” แนว : โรแมนติก นักแสดง : KJ Apa, Maia Mitchell, Jacob Latimore, Halston Sage, Sosie Bacon, Wolfgang Novogratz, Gabrielle Anwar, Ed Quinn, Jacob McCarth, Mario Revolori, Gage Golightly, Norman Johnson, Jr., Tyler Posey บทภาพยนตร์ : Scott Bindley, William Bindley ผู้กำกับ : William Bindley ค่าย : Netflix วันฉาย : 03 พฤษภาคม 2019 เวลา : 01 ชั่วโมง 50 นาที IMDb : 5.6 เรื่องย่อ เรื่องราวของเหล่าวัยรุ่นที่เพิ่งจบมัธยมปลายที่ต้องแยกย้ายกันไปใช้ชีวิตของตัวเองในฤดูร้อนสุดท้าย เพื่ออำลาช่วงชีวิตวัยรุ่น ก่อนที่พวกเขาจะต้องไปเริ่มต้นใช้ชีวิตแบบผู้ใหญ่กันต่อไปในมหาวิทยาลัยนั่นเอง แต่เรื่องราววุ่นวายต่างๆก็ได้เข้ามาปั่นป่วน ชวนให้ชีวิตพวกเขาต้องตัดสินใจอะไรหลายๆอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวของการพบเจอความรัก ความผิดหวัง หรือแม้แต่เรื่องราวของความสัมพันธ์ในครอบครัวก็ตาม ซึ่งพวกเขาจะสามารถผ่านฤดูร้อนนี้ไปได้อย่างไร ต้องไปติดตามรับชมกันต่อในหนังได้เลย รีวิว The Last Summer สำหรับหนังเรื่องนี้ถ้าหากใครที่ชอบแนวการเดินเรื่องแบบเรื่อยๆเพื่อตามติดชีวิตใครสักคน หนังเรื่องนี้อาจจะเหมาะกับคุณ แต่ถ้าหากใครไม่ชอบการเดินเรื่องแบบเรื่อยๆแล้วมาดูหนังเรื่องนี้ คุณอาจจะเบื่อก็เป็นได้ ซึ่งจริงๆแล้วหนังเรื่องนี้สามารถแสดงออกมาให้เราหวนไปนึกถึงชีวิตในวัยเรียน ที่เป็นวัยที่เราได้ใช้ชีวิตได้อย่างสนุกสุดเหวี่ยงได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว อีกทั้งหนังเรื่องนี้ยังมีนักแสดงเยอะมากๆอีกด้วย แต่ด้วยความที่นักแสดงเยอะนี้กลับไม่มีนักแสดงคนไหนที่ถูกใช้แบบทิ้งขว้างเลย เพราะหนังเรื่องนี้ได้มีการโฟกัสไปที่ตัวละครทุกตัว หรือที่เรียกได้ว่าให้ความสำคัญกับทุกตัวละครเลยทีเดียว ตัวอย่าง หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนัง Netflix เรื่องอื่นๆ เช่น รีวิวหนัง “A Christmas Prince” (เจ้าชายคริสต์มาส) กับหนังน่ารักๆอีกหนึ่งเรื่อง ได้อีกที่ filmograd.net

รีวิว Vampires VS The Bronx (แวมไพร์ บุกบรองซ์) หนังเด็กที่ต้องมาสู้กับแวมไพร์

ถ้าหากคุณกำลังมองหาหนังที่ดูเพื่อผ่อนคลาย ไม่ต้องคิดอะไรมากไปกว่าเดิมนั้น แอดต้องขอแนะนำให้คุณดู รีวิว Vampires VS The Bronx (แวมไพร์ บุกบรองซ์) หนังเรื่องนี้เลย โดยหนังเรื่องนี้มันจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับแวมไพร์บุกเมือง ที่คุณสามารถรับชมไปพร้อมกับลูกๆหลานๆได้เลย เพราะมันเป็นหนังที่เบาสมองมากๆ และยังเป็นแนวที่เด็กๆน่าจะชอบกันเลยแหละ ชื่อเรื่อง : “Vampires VS. The Bronx” (แวมไพร์ บุกบรองซ์) แนว : คอมเมดี้ สยองขวัญ นักแสดง : Jaden Michael, Gerald W. Jones III, Gregory Diaz IV, Coco Jones บทภาพยนตร์ : Oz Rodriguez, Blaise Hemingway ผู้กำกับ : Oz Rodriguez ค่าย : Netflix วันฉาย : 02 ตุลาคม 2020 เวลา : 01 ชั่วโมง 26 นาที IMDb : 5.2 เรื่องย่อ เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นในย่านบรองซ์ ที่ซึ่งเป็นถิ่นเสื่อมโทรมของคนผิวสีที่อาศัยอยู่รวมกัน เป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยสิ่งไม่ดีทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นการค้ายา หรือการปล้นจี้ต่างๆ แต่ถึงแม้จะเป็นถิ่นที่ขึ้นชื่อว่าเสื่อมโทรมนั้น ผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองนี้ก็ยังคงรักเมืองที่พวกเขาอยู่กันเป็นอย่างมาก โดยในวันหนึ่งได้มีนายทุนผิวขาวเข้ามาทำการขว้านซื้อกิจการร้านค้าหรือแม้แต่บ้านที่อยู่อาศัยในเมืองนี้มากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อเอาไปสร้างกิจการใหญ่ๆนั่นเอง แต่ความจริงแล้วในการซื้อขายครั้งนี้กลับมีความลับบางอย่างซ่อนอยู่ ซึ่งผู้ที่ค้นพบความลับนี้เป็นเพียงเด็กหนุ่ม 3 คนอย่าง “มิเกล” (รับบทโดย Jaden Michael), “หลุยส์” (รับบทโดย Gregory Diaz IV) และ “บ็อบบี้” (รับบทโดย Gerald W. Jones III) เท่านั้น พวกเขาจึงต้องลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อนำความสงบสุขกลับมาสู่เมืองที่พวกเขาอยู่อีกครั้ง รีวิว Vampires VS The Bronx (แวมไพร์ บุกบรองซ์) สำหรับหนังเรื่องนี้ต้องเรียกได้ว่า เป็นหนังที่น่าจะผลิตออกมาให้เด็กๆรับชม เพราะเนื้อเรื่องประมาณนี้แอดคิดว่าเด็กๆน่าจะชอบ เพราะเนื้อเรื่องมันไม่ได้หนักอะไรมากมาย ไม่มีฉากที่น่ากลัวเลือดสาดมากเท่าไรนัก อีกทั้งยังมีการเดินเรื่องได้อย่างรวดเร็ว ไม่ยืดเยื้อ แต่ถ้าหากผู้ใหญ่อย่างเราต้องการที่จะรับชมหนังเรื่องนี้ คือมันก็เป็นหนังที่สามารถดูได้แบบเพลินๆ แต่ถ้าหากคุณคาดหวังให้หนังเรื่องนี้มันมีเนื้อเรื่อง การเล่าเรื่องที่แปลกใหม่ หรือตื่นเต้นเร้าใจ หนังเรื่องนี้ก็อาจจะยังไม่ตอบโจทย์คุณสักเท่าไร ตัวอย่าง หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนัง Netflix เรื่องอื่นๆ เช่น รีวิว The Princess Switch (สลับตัว ไม่สลับหัวใจ) กับเรื่องราวน่ารักๆสบายสมอง ได้อีกที่ filmograd.net

รีวิว The Binding (พันธนาการมืด) กับการบอกเล่าเรื่องราวไสยศาสตร์จากอิตาลี

ว่ากันด้วยเรื่องของไสยศาสตร์ หรือเรื่องราวความเชื่อต่างๆนั้นก็คงต้องยกให้ประเทศไทยเราเลย แต่ในวันนี้แอดจะพาทุกคนมาดำดิ่งไปกับเรื่องราวไสยศาสตร์ของประเทศอิตาลีกันดูว่า มันจะเป็นยังไง และจะแปลกแตกต่างไปจากบ้านเรามากน้อยแค่ไหนกันแน่? ใน รีวิว The Binding (พันธนาการมืด) ชื่อเรื่อง : “The Binding” (พันธนาการมืด) แนว : สยองขวัญ นักแสดง : ริคคาร์โด สกามาร์ซิโอ, มีอา มาเอสโตร บทภาพยนตร์ : ดาเนียล คอสซี, โดเมนิโก้ เดอ เฟาดิส ผู้กำกับ : โดเมนิโก้ เดอ เฟาดิส ค่าย : Netflix เวลา : 01 ชั่วโมง 33 นาที IMDb : 4.7 เรื่องย่อ เรื่องราวของ “เอ็มม่า” หญิงสาวแม่ม่ายลูกติดคนหนึ่งที่มีชื่อว่า “โซเฟีย” ซึ่งเธอนั้นได้พบรักกับ “ฟรานซิสโก้” ชายหนุ่มคนหนึ่ง โดยเอ็มม่าและฟราซิสโก้ได้วางแผนเอาไว้ว่าจะแต่งงานกันในระยะเวลาอันใกล้นี้ พวกเขาจึงได้วางแผนในการใช้วันหยุด เพื่อเดินทางไปพบกับแม่ของฟราซิสโก้ที่อยู่ทางตอนใต้ของประเทศอิตาลี ซึ่งเมื่อเดินทางไปถึงแล้วเอ็มม่ากลับพบว่าแม่ของชายหนุ่มที่เธอรักมีอะไรแปลกๆไป เหมือนจะเป็นหมอผีก็ไม่เชิง เพราะแม่ของฟราซิสโก้มีการใช้คุณไสยเพื่ออะไรหลายๆอย่างอีกด้วย แต่แล้วก็มีเหตุการณ์แปลกๆเกิดขึ้นกับลูกสาวของเธอเอง โดยเริ่มจากการละเมอลุกขึ้นมาทำร้ายตัวเอง และหลังจากนั้นลูกสาวเธอก็ได้โดนแมงมุมกัด ซึ่งไม่ว่าจะพาไปหาหมอที่ไหนก็ยังไม่ดีขึ้น แถมยังแย่ลงเรื่อยๆอีกต่างหาก นั่นก็เพราะว่าลูกสาวของเธอโดนคุณไสยเล่นงานด้วยการผูกพันธะจากใครสักคนเข้าให้แล้ว รีวิว The Binding” (พันธนาการมืด) หนังเรื่องนี้เริ่มต้นพล็อตเรื่องได้น่าสนใจเป็นอย่างมาก เพราะมันเป็นเนื้อเรื่องที่ค่อนข้างแปลกใหม่ แต่ในส่วนของการเล่าเรื่องนั้นยังไม่ค่อยดีเท่าที่ควร กว่าจะมีการเข้าถึงเนื้อเรื่องจริงๆก็ปาไปครึ่งเรื่องได้แล้ว อีกทั้งเรื่องราวยังไม่มีที่มาที่ไปสักเท่าไร อยู่ดีๆคิดอยากจะพูดถึงก็พูด แต่ถ้าไม่อยากพูดถึงแล้วก็ตัดจบไปง่ายๆซะอย่างนั้น มีอยู่อย่างเดียวที่แอดว่าหนังเรื่องนี้ทำออกมาได้ดี นั่นก็คือน้องนักแสดงเด็กที่แสดงเป็นลูกของเอ็มม่านั่นเอง คือเธอแสดงได้ดี สมบทบาท ดูแล้วชวนให้เราแอบหลอนได้เบาๆ ตัวอย่าง หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนัง Netflix เรื่องอื่นๆ เช่น รีวิวหนัง “A Christmas Prince” (เจ้าชายคริสต์มาส) กับหนังน่ารักๆอีกหนึ่งเรื่อง ได้อีกที่ filmograd.net

รีวิว Hubie Halloween (ฮูบี้ ฮาโลวีน) ไปกับการสุขสันต์วันปล่อยผี

สวัสดีเดือนตุลาคม เดือนแห่งวันวันฮาโลวีน ก่อนอื่นต้องบอกเลยว่าพอเริ่มเข้าสู่เดือนตุลาคมแล้วนั้น Netflix ก็เริ่มปล่อยหนังที่เกี่ยวกับวันฮาโลวีนออกมาให้ผู้ชมอย่างเราได้รับชมกัน เพื่อต้อนรับวันแห่งเทศกาลการปล่อยผีนั่นเอง อย่างล่าสุดนี้ทาง Netflix ก็ได้มีการปล่อยหนังตลกอย่าง รีวิว Hubie Halloween (ฮูบี้ ฮาโลวีน) ออกมาให้เราได้รับชมกันอีกเรื่องหนึ่ง เอาเป็นว่าเราไม่รอช้า ไปดูกันเลยดีกว่าว่าหนังเรื่องนี้จะเป็นอย่างไรกันบ้าง ชื่อเรื่อง : “Hubie Halloween” (ฮูบี้ ฮาโลวีน) แนว : ตลก สยองขวัญ นักแสดง : Adam Sandler, Kevin James, Julie Bowen, Ray Liotta, Rob Schneider, June Squibb, Kenan Thompson, Shaquille O’Neal, Steve Buscemi, Maya Rudolph บทภาพยนตร์ : Tim Herlihy, Adam Sandler ผู้กำกับ : Steven Brill ค่าย : Netflix วันฉาย : 07 ตุลาคม 2020 เวลา : 01 ชั่วโมง 42 นาที IMDb : 5.4 เรื่องย่อ เรื่องราวของ “ฮูบี้ ดูบัวส์” (รับบทโดย Adam Sandler) ที่เกิดและอาศัยอยู่ที่เมืองซาเล็ม ในแมสซาซูเซตส์ โดยเขาเป็นคนที่ทุ่มเททั้งกายใจทำเพื่อคนอื่นมาโดยตลอด แต่เขาก็ยังไม่ได้เป็นที่รักของผู้คนในเมืองนี้ แถมยังเป็นถูกมองตัวตลกอีกต่างหาก อาจจะด้วยความที่เขามีความเป็นตัวของตัวเองสูงเกินไป จนเมื่อวันฮาโลวีนที่เพิ่งถึงนี้กลับมีเรื่องแปลกประหลาดเกิดขึ้นมากมาย เพราะมันมีคนหนีออกมาจากโรงพยาบาลบ้า นั่นทำให้ค่ำคืนฮาโลวีนนี้กลายเป็นคืนสยองขึ้นมา เพราะในคืนนั้นเองมีคนหายตัวไปทั้งหมด 4 คนนั่นเอง นั่นทำให้ผู้ชายจิตใจดีแต่ขี้กลัวอย่างฮูบี้ต้องลุกขึ้นมาเพื่อหาทางปกป้องเมืองนี้ให้ปลอดภัยให้ได้ รีวิว Hubie Halloween เรียกได้ว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังตลกที่คุณสามารถดูเพื่อคลายเครียดได้ป็นอย่างดี มันอาจจะไม่ได้ตลกอะไรมากมาย แต่มันก็มีฉากที่เรียกเสียงฮาได้ตลอดทั้งเรื่องเลย แต่ในความนั้น หนังก็ยังมีการสอดแทรกการจิกกัดสภาพสังคมในอเมริกาได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการบูลลี่ต่างๆ อย่างที่เราเคยเห็นมาจากหนังหลายๆเรื่อง ที่หลายคนต้องการทำตัวให้เป็นที่ยอมรับของสังคมให้ได้ ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นเป้าให้โดนบูลลี่ หรือโดนแกล้งได้อย่างง่ายดาย ซึ่งมันมีอยู่เรื่องหนึ่งที่แอดจะไม่พูดถึงไม่ได้เลย นั่นก็คือเรื่องของนักแสดง ที่สามารถแสดงได้อย่างสมจริงมากๆ มันทำให้แอดนึกว่าเป็นเรื่องรางของคนๆนั้นจริงๆซะอย่างนั้น ในส่วนของเนื้อเรื่องมันอาจจะไม่ได้มีสาระอะไรมากมายนัก ต้องเรียกได้ว่าหากใครที่คิดจะดูหนังเรื่องนี้คุณต้องโยนสมองทิ้งไป แล้วจะสามารถดูหนังเรื่องนี้ได้อย่างลื่นไหล เพราะในเรื่องนั้นมันไม่ได้มีเนื้อหาหลักๆอะไรที่ต้องการจะสื่อให้ผู้ชมรับรู้มากไปกว่าความฮาเท่านั้นที่คุณจะได้รับจากหนังเรื่องนี้ อ้อ…แต่แอดชอบตอนจบของหนังเรื่องนี้อยู่นะ มันเหมือนกับคนดีคนหนึ่งที่ทำเพื่อสังคมมาโดยตลอดแต่ยังกลับถูกมองเป็นตัวตลกอยู่เสมอ จริงๆแล้วเราควรที่จะมองกันให้ลึกถึงนิสัยกันมากกว่าที่จะมองเพียงแค่ภายนอกเท่านั้น ซึ่งตอนจบก็ได้กล่าวถึงเรื่องนี้เอาไว้ได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว ตัวอย่าง หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนัง Netflix เรื่องอื่นๆ เช่น รีวิว ปริศนามนุษย์กลของอูโก้ หนังที่จะพาคุณย้อนวัยไปด้วยกันอีกครั้ง ได้อีกที่ filmograd.net

รีวิว “A Christmas Prince The Royal Baby”(เจ้าชายคริสต์มาส 3 รัชทายาทน้อย)

ต้องเรียกได้ว่าหนังตระกูลของ A Christmas Prince จากทาง Netflixนั้นได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหลังจากที่แอดได้พาทุกคนไปดูเรื่องราวความรักของพระ-นางคู่นี้ในวันแต่งงานแล้วนั้น วันนี้แอดจะพาทุกคนมาดูเรื่องราวชีวิตของนางเอกของเราต่อจากนั้นอีกใน “A Christmas Prince: The Royal Baby” (เจ้าชายคริสต์มาส รัชทายาทน้อย) ชื่อเรื่อง : “A Christmas Prince: The RoyalBaby” (เจ้าชายคริสต์มาส รัชทายาทน้อย) แนว : โรแมนติก คอมเมดี้ นักแสดง : Rose McIver, Ben Lamb, Alice Krige, Honor Kneafsey, Sarah Douglas บทภาพยนตร์ : Nate Atkins ผู้กำกับ : John Schultz ค่าย : Netflix วันฉาย : 05 ธันวาคม 2019 เวลา : 01 ชั่วโมง 25 นาที IMDb : 5.3 เรื่องย่อ เรื่องราวภาคต่อจากภาคที่สอง หลังจากที่ “แอมเบอร์” (รับบทโดย Rose McIver) สามารถปรับตัวใช้ชีวิตอยู่ในวังได้อย่างสงบสุขแล้วนั้น เรื่องราวเหมือนจะจบลงด้วยดี เพราะแอมเบอร์กำลังตั้งครรภ์ ครอบครัวของเธอกำลังจะเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์แล้วโดยแท้ แต่ในวันหนึ่งเธอถูกเรียกตัวไปเพื่อเซ็นสัญญาสงบศึกที่ต่ออายุทุกๆ 100 ปีระหว่างประเทศเอนโดเวียและประเทศเพนเกรียที่ยึดถือทำมากันมากว่าหลายร้อยปีนั่นเอง ซึ่งเรื่องราวมันกลับวุ่นวายกว่าที่คิดเพราะหนังสือพันธสัญญาที่ต้องลงนามร่วมกันนั้นกลับหายไป แอมเบอร์จึงต้องพยายามทุกวิถีทางเพื่อตามหาพันธสัญญานั้นนำกลับมาเซ็นยุติสงครามให้ได้ ไม่เช่นนั้นลูกของเธอที่กำลังจะเกิดมาอาจจะโดนคำสาปก็เป็นได้ รีวิว A Christmas Prince The Royal Baby (เจ้าชายคริสต์มาส รัชทายาทน้อย) เรื่องราวในภาคนี้ออกจะแฟนตาซีนิดๆ แต่ก็ยังคงคอนเซ็ปเดิมไว้ได้เป็นอย่างดี ไม่มีหลุดกรอบไปไหนไกลเลย เนื้อเรื่องก็ดูลึกลับ ชวนค้นหาให้เราคิดว่าใครกันที่เป็นคนขโมยพันธสัญญาไปซ่อน ซึ่งในหนังนั้นไม่ได้บอกเอาไว้ว่านางเอกของเราสามารถแก้ปมนี้ได้อย่างไร แต่ก็ยังแอบเฉลยเอาไว้ว่าคนที่ขโมยไปนั้น เขาทำไปเพื่ออะไรเท่านั้นเอง เรื่องราวมันอาจจะไม่ได้หวือหวาอะไรมากมาย แต่แอดว่าในบรรดา 3 ภาคนี้ แอดชอบภาคนี้ที่สุดนะ เพราะในเนื้อเรื่องทุกคนก็ล้วนน่าสงสัยทุกคน อีกทั้งตัวโกงจากภาคแรกก็กลับมาเป็นคนดี แบบว่าดีจริงๆซะอย่างนั้น อีกทั้งด้วยการกระทำของเขา ที่ไม่ว่าเขาจะทำอะไร มันก็ทำให้เราอดสงสัยเขาไม่ได้ เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า หากคุณเคยทำผิดมาก่อนแล้วสามารถปรับตัวเป็นคนดีได้แล้วนั้น อย่างไรทุกคนก็อดสงสัยคุณก่อนเป็นอันดับแรกไม่ได้เลยจริงๆ อย่างที่เขาว่าคนมันมีความผิดติดตัวอยู่อ่ะนะ แต่ถ้าหากคุณยึดถือในความดีที่คุณกำลังทำอยู่ตลอดนั้น อย่างไรแล้วความจริงก็คือความจริง ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปได้หรอก สักวันยังไงความจริงก็ต้องเปิดเผย ขอเพียงคุณไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคที่เข้ามาก็พอ ตัวอย่าง หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนัง Netflix เรื่องอื่นๆ ได้อีกที่ filmograd.net

รีวิว A Christmas Prince The Royal Wedding (เจ้าชายคริสต์มาส 2)

หลังจากที่ได้พาทุกคนไปดูหนังแนวโรแมนติก คอมเมดี้ ที่เบาๆสบายสมองอย่างเรื่อง “A Christmas Prince” ไปแล้วนั้น วันนี้เราจะพาทุกคนมาฟินกันในภาคต่อของหนังเรื่องนี้ใน “A Christmas Prince: The Royal Wedding” (เจ้าชายคริสต์มาส มหัศจรรย์วันวิวาห์) กันเลย มาดูกันว่าเรื่องราวหลังจากที่นางเอกของเราตกลงแต่งงานกับเจ้าชายแล้วชีวิตของเธอจะเป็นอย่างไรต่อไปกันนะ และเธอจะสามารถปรับตัวให้เข้ากับสังคมที่เหมือนเป็นคนละโลกกับเธอได้หรือไม่? ชื่อเรื่อง : “A Christmas Prince: The RoyalWedding” (เจ้าชายคริสต์มาส มหัศจรรย์วันวิวาห์) แนว : โรแมนติก คอมเมดี้ นักแสดง : Rose McIver, Ben Lamb, Alice Krige, Sarah Douglas, Tahirah Sharif บทภาพยนตร์ : Nathan Atkins ผู้กำกับ : John Schultz ค่าย : Netflix วันฉาย : 30 พฤศจิกายน 2018 เวลา : 01 ชั่วโมง 32 นาที IMDb : 5.3 เรื่องย่อ เรื่องราวในหนึ่งปีให้หลัง หลังจากที่ “แอมเบอร์” (รับบทโดย Rose McIver) ตอบตกลงแต่งงานกับ “เจ้าชายริชาร์ด” (รับบทโดย Ben Lamb) นั่นเอง ซึ่งพวกเขากำลังจะแต่งงานกันในวันคริสต์มาสที่กำลังจะมาถึงนี้ แต่การใช้ชีวิตภายในวังของแอมเบอร์ ไม่ว่าจะเป็นกฎหรือธรรมเนียมภายในวังที่เธอจะต้องทำตามนั้น ทำให้แอมเบอร์ต้องหวนกลับมาคิดอีกครั้งว่า นี่คือชีวิตที่เธอต้องการจริงๆหรือไม่? หรือเธอจะต้องละทิ้งตัวตนทั้งหมดของเธอ และเตรียมตัวเป็นเจ้าหญิงของเมืองนี้อย่างสมบูรณ์แบบกันแน่ รีวิว A Christmas Prince The Royal Wedding (เจ้าชายคริสต์มาส มหัศจรรย์วันวิวาห์) ไม่ว่าจะยังไงหนังเรื่องนี้ก็ยังคงเป็นหนังที่เดาทางได้ง่ายเหมือนกับภาคแรกเป๊ะๆ อีกทั้งในภาคนี้หนังยังมีการเล่าไปที่เรื่องราวของการเมืองซะเป็นส่วนใหญ่เลย แต่มันก็ไม่ได้การเมืองจ๋าซะขนาดดูแล้วทำให้เราเบื่อหรอกนะ เพราะในหนังภาคนี้ยังมีการเน้นไปที่เรื่องของความสัมพันธ์ที่เข้มข้นมากกว่าเดิมอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ระหว่างแอมเบอร์กับเจ้าชายริชาร์ดที่ดูเหมือนจะห่างเหินกันออกไปเรื่อยๆ เพราะภารกิจที่เจ้าชายจะต้องรับผิดชอบมากขึ้นและขนบธรรมเนียมประเพณีของทางวังที่แอมเบอร์จะต้องยอมรับให้ได้ หรือแม้แต่ความสัมพันธ์ระหว่างแอมเบอร์กับทุกคนที่อยู่รอบๆตัวที่เรียกได้ว่า มีการพัฒนาไปไกลมากๆ ในส่วนของงานภาพของหนังเรื่องนี้ แอดคงไม่ต้องพูดอะไรมาก เพราะหนังเรื่องนี้นั้นคุณภาพระดับ 4K เหมือนกับภาคแรกเลย อีกทั้งหนังภาคนี้ยังให้ข้อคิดอะไรกับเราได้เยอะเหมือนกันนะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวของความเอาใจใส่ในทุกรายละเอียดของตัวละคร หรือแม้แต่การยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในอนาคต ซึ่งมันสามารถสะท้อนให้เห็นถึงสังคมในปัจจุบันได้เป็นอย่างดีเลยเดียว เพราะในสังคมปัจจุบันนั้น ผู้คนมักไม่ค่อยยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่นสักเท่าไร ตัวอย่าง หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนัง Netflix เรื่องอื่นๆ ได้อีกที่ filmograd.net

รีวิวหนัง “A Christmas Prince” (เจ้าชายคริสต์มาส) กับหนังน่ารักๆอีกหนึ่งเรื่อง

ต้องยอมรับเลยว่าช่วงนี้สิงสถิตอยู่แต่ใน Netflix และหลังจากที่นั่งหาว่าจะดูหนังเรื่องไหนดีน๊า ที่มันไม่ค่อยเครียดหรือต้องคิดตามอะไรมากมาย เพราะทุกวันนี้เจอแต่อะไรเครียดๆมาเยอะมาก แล้วเหมือนทาง Netflix จะรู้ใจว่าเราต้องการดูหนังแนวไหนนะ เพราะอยู่ดีๆ Netflix ก็โผล่หนังเรื่อง “A Christmas Prince” (เจ้าชายคริสต์มาส) นี้ขึ้นแจ้งเตือนมาให้ดูซะอย่างนั้น เอาเป็นว่าเราไปดูกันเลยดีกว่าว่ามันจะเป็นอย่างไรบ้าง ชื่อเรื่อง : “A ChristmasPrince” (เจ้าชายคริสต์มาส) แนว : โรแมนติกคอมเมดี้ นักแสดง : Rose McIver, Ben Lamb, Tom Knight, Sarah Douglas, Daniel Fathers, Alice Krige, Tahirah Sharif บทภาพยนตร์ : Karen Schaler, Nathan Atkins ผู้กำกับ : Alex Zamm ค่าย : Netflix วันฉาย : 17 พฤศจิกายน 2017 เวลา : 01 ชั่วโมง 32 นาที IMDb : 5.8 เรื่องย่อ เรื่องราวของ “แอมเบอร์” (รับบทโดย Rose McIver) นักข่าวหญิงไฟแรง ที่ได้รับมอบหมายงานให้ไปทำข่าวเกี่ยวกับการขึ้นครองราชย์ของ “เจ้าชายริชาร์ด” (รับบทโดย Ben Lamb) เจ้าชายคนแรกของราชวงศ์แห่งอัลโดเวียที่ขึ้นชื่อเรื่องของคาสโนว่าตัวพ่อ นั่นทำให้แอมเบอร์ต้องตกกระไดพลอยโจรปลอมตัวไปเป็นคุณครูสอนภาษาอังกฤษให้กับเจ้าหญิง น้องสาวของเจ้าชายริชาร์ด เพื่อตามสืบข่าวของเจ้าชายและนำมาเขียนสกู๊ป เพื่อหน้าที่การงานที่ก้าวหน้าของเธอเอง แต่หลังจากที่เธอเข้าไปอยู่ในวังแล้ว ความรู้สึกที่เธอมีต่อเจ้าชายกลับเปลี่ยนแปลงไป อีกทั้งเธอยังใกล้ชิดสนิทสนมกับเจ้ามากกว่าเดิมอีกด้วย รีวิว A Christmas Prince (เจ้าชายคริสต์มาส) ต้องยอมรับเลยว่าช่วงนี้เครียดมากกับภาระหลายๆอย่างรอบตัว ก็เลยเลือกที่จะดูหนังเรื่องนี้ เพราะคิดว่ามันน่าจะเป็นหนังเบาๆสบายสมอง เนื่องจากได้ดูจากหน้าปกแล้วมันน่าจะเป็นเรื่องของเจ้าชายก็เลยเลือกเข้าไปดู แต่หลังจากที่ได้เข้าไปดูแล้วไม่ผิดหวังเลย ในส่วนของเนื้อเรื่องอาจจะไม่ได้มีพล็อตที่แตกต่างไปจากเรื่องอื่นๆมากมายสักเท่าไร คือเราสามารถเดาทางของเนื้อเรื่องได้ตั้งแต่ต้นจนจบเลยแหละ แต่หนังเรื่องนี้คือมันน่ารักมากกก (ให้ ก.ไก่ ล้านตัวเลย) เรียกได้ถ้าใครที่ต้องการดูหนังเพื่อผ่อนคลายเรื่องราวเครียดๆที่เราต้องประสบพบเจอมาทั้งวันนั้น แอดขอแนะนำหนังเรื่องนี้เลย มันเหมาะที่จะเป็นหนังที่ช่วยคลายเครียดได้อย่างดีเลยทีเดียว แล้วไหนจะตัวหนังแสดงอีกที่สามารถแสดงได้อย่างร่ารัก น่าเอ็นดูมากๆ และถ้าหากใครอยากดูหนังที่ภาพสวยๆ โลเคชั่นดีๆ หนังเรื่องนี้สามารถตอบโจทย์คุณได้เลย เพราะหนังเรื่องนี้นั้น สามารถทำงานภาพออกมาได้เป็นอย่างดี การรันตีได้ด้วยคุณภาพหนังระดับ 4K ไปเลยจ้า ตัวอย่าง หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนัง Netflix เรื่องอื่นๆ เช่น รีวิว The Princess Switch (สลับตัว ไม่สลับหัวใจ) กับเรื่องราวน่ารักๆสบายสมอง ได้อีกที่ filmograd.net

รีวิว Johnny English Strikes Again กับการกลับมาของสายลับรุ่นใหญ่

หากจะพูดถึงหนังที่มีเรื่องเกี่ยวกับการปฏิบัติภารกิจที่ไม่เคร่งเครียดเกินไปนั้น คงหนีไม่พ้นหนังในตระกูลJohnny English กันหรอกใช่ไหม? และในวันนี้เราจะพาทุกคนมาดูอีกหนึ่งในหนังตระกูลนี้กันกับ รีวิว Johnny English Strikes Again ซึ่งแอดต้องบอกก่อนเลยว่า ภาคนี้น่าจะเป็นภาคล่าสุดของหนังเรื่องนี้ก็เป็นได้ อีกอย่างตัวนักแสดงหลักเองในปัจจุบันนี้ก็อายุค่อนข้างมากแล้วด้วย ชื่อเรื่อง : “Johnny English Strikes Again” แนว : ตลกแอคชั่นล้อเลียน นักแสดง : Rowan Atkinson, Ben Miller, Olga Kurylenko, Jake Lacy, Emma Thompson บทภาพยนตร์ : William Davies ผู้กำกับ : David Kerr ค่าย : Universal Pictures วันฉาย : 26 ตุลาคม 2018 เวลา : 01 ชั่วโมง 29 นาที IMDb : 6.2 เรื่องย่อ เรื่องราวของการกลับมาอีกครั้งของ “จอนห์นนี่ อิงลิช” (รับบทโดย Rowan Atkinson) สายลับที่เพี้ยนที่สุดในอังกฤษ โดยในครั้งนี้เขาถูกเรียกตัวจาก MI 7 อีกครั้ง หลังจากที่เขาเกษียณตัวเอง และไปเป็นคุณครูสอนเด็กประถมที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง ซึ่งการในเรียกตัวครั้งนี้ จอห์นนี่จะต้องไปไปปฏิบัติภารกิจสุดไฮเทค จากนักจารกรรมไซเบอร์ที่สร้างความวุ่นวายให้กับเมืองลอนดอน อีกทั้งในครั้งนี้เขาก็ยังได้ปฏิบัติภารกิจร่วมกันกับคู่หูของเขาอย่าง “บอร์ฟ” (รับบทโดย Ben Miller) เหมือนเดิมอีกด้วย รีวิว Johnny English Strikes Again คงไม่ต้องพูดอะไรมากสำหรับหนังเรื่องนี้ เพราะตัวหนังนั้นเน้นไปที่เรื่องความความบันเทิงอยู่แล้ว ซึ่งต้องบอกก่อนเลยว่าหากคุณต้องการดูหนังที่บันเทิง เพื่อผ่อนคลายสมองนั้น หนังเรื่องนี้ก็สามารถตอบโจทย์คุณได้เป็นอย่างดีเลย เพราะมันสามารถดูได้แบบเพลินๆ มีแอบยิ้มมุมปากบ้างบางมุกที่หนังแสดงออกมา แต่ถ้าหากคุณต้องการหนังที่มีเนื้อหาสาระแบบเข้มข้น หนังเรื่องนี้อาจจะไม่ตอบโจทย์คุณสักเท่าไร อีกทั้งหนังเรื่องนี้ยังเน้นไปที่การขายความตลกจากภาษากายซะเป็นส่วนมาก ดังนั้นมันอาจจะไม่ได้มีบทพูดที่ทำให้เราตลกจนขำกลิ้งกันสักเท่าไร สำหรับใครที่จะดูหนังเรื่องนี้คือคุณสามารถดูได้แบบไม่ต้องคิดอะไรซับซ้อน หรือต้องมาคอยคิดว่ามุกที่หนังต้องการจะสื่อมันหมายถึงอะไรเลย ตัวอย่าง หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนังต่างประเทศเรื่องอื่นๆ เช่น รีวิว Lingering โรงแรมผีจอง(เวร) หนังผีสัญชาติเกาหลีที่ไม่ได้มีมาบ่อยๆ ได้อีกที่ filmograd.net