รีวิว A Whisker Away เหมียวน้อยคอยรัก หนังอนิเมะอีกเรื่องของญี่ปุ่น

ปัญหาที่มนุษย์อย่างเรา ๆ ต้องประสบพบเจอในแต่ละวัน ทั้งเรื่องอดีต ปัจจุบัน อนาคต ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องน่าปวดหัวทั้งสิ้น จนหลาย ๆ ครั้งเมื่อมองไปที่เจ้าแมวเหมียวผู้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย นอนขดตัว และได้ออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกอย่างสบายใจก็มีชีวิตที่ดูน่าอิจฉาสุด ๆ ไปเลย แต่ใครจะรู้บ้างว่าแท้จริงแล้วชีวิตของเจ้าเหมียวเป็นยังไง และหากเลือกได้คุณอยากกลายร่างเป็นแมวบ้างหรือไม่ เหมือนกับในอนิเมะเรื่องใหม่อย่าง A Whisker Away เหมียวน้อยคอยรัก หรือไม่ อนิเมะเรื่องใหม่จากญี่ปุ่นที่ฉายทาง Netflix แล้ววันนี้ได้เล่าเรื่องราวของเด็กสาวมัธยมอย่าง “มุเกะ” เด็กสาวแสนสดใสที่ต้องเผชิญกับปัญหาภายในครอบครัวไม่เว้นแต่ละวัน จนทำให้เธอรู้สึกอึดอัดใจอยู่ตลอด แต่แล้ววันหนึ่งชีวิตของเธอก็เปลี่ยนไป เมื่อมุเกะได้รับหน้ากากแมวมาซึ่งเมื่อสวมใส่เธอจะสามารถกลายร่างเป็นแมวได้! มุเกะเองก็เป็นเด็กสาวที่ค่อนข้างลุยอยู่แล้วโดยเฉพาะเรื่องความรัก ใส่เต็มร้อย ไม่ยั้งแม้แต่น้อย จนทำให้ “ฮิโนเดะ” เพื่อนร่วมชั้นที่โดนเธอจีบอยู่รู้สึกไม่ชอบใจเพราะรู้สึกรำคาญและเลือกที่จะเมินใส่เธอ มุเกะ รู้สึกเหมือนโลกนี้ช่างน่าเบื่อและเธอโดดเดี่ยวเกินไปแล้ว จึงทำให้เธอเลือกที่จะกลายร่างเป็นแมว และทุกครั้งที่ฮิโนเดะเห็นแมวตัวนี้เขาก็มักเข้าไปอุ้มและกอดรัดด้วยความเอ็นดู ซึ่งมันก็ทำให้เด็กสาวอย่างมุเกะอบอุ่นใจอยู่เสมอ และเริ่มที่จะติดใจร่างแมวนี่เสียแล้ว จนกระทั่งวันหนึ่งเธอต้องเลือกว่าสุดท้ายเธอจะอยู่ในร่างไหนกันแน่ก็มาถึง ตัวอนิเมะเรื่องนี้แม้จะเล่าเรื่องได้เบาไปนิด แต่เมื่อเสริมประเด็นเรื่องการหลบหนีปัญหาของมนุษย์เพิ่มเข้าไป และสาเหตุที่นางเอกกลายเป็นคนเรียกร้องความสนใจจากการขาดความรักจากครอบครัวเข้ามาทำให้ตัวเรื่องมีน้ำหนักมากขึ้น น่าติดตามและเอาใจช่วยนางเอกมาก อีกทั้งการเล่าเรื่องโลกของแมวน้อยก็ทำได้น่าสนใจมาก ๆ เราได้เห็นมนุษย์ครึ่งแมว และแมวที่มีสังคมร่วมกัน โปรดักชันภาพสวยงามสดใสทำให้อนิเมะเรื่องนี้ดึงดูดผู้ชมได้ทุกช่วงวัย แต่ก็มีข้อติเพราะเนื้อเรื่องยังไม่สามารถทำให้ผู้ชมรู้สึกอินไปกับตัวละครเท่าที่ควร ส่งผลให้แอนิเมะเรื่องนี้ยังไม่ได้เป็นเรื่องที่ลึกซึ้งกินใจเหมือนหลายเรื่องที่ผ่าน ๆ มา ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับหนังอนิเมะ A Whisker Away เหมียวน้อยคอยรัก ประเภท : แอนิเมชั่น-มังงะ ผู้กำกับ : จุนอิจิ ซาโต้ ตัวละครหลัก : Yoji Sasaki,Miyo Sasaki ความยาว : 1 ชั่วโมง 53 นาที กำหนดฉาย : 18 มิถุนายน 2563 หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับเว็บรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนัง Netflix เรื่องอื่นๆ เช่น รีวิว Desperados เสียฟอร์ม ยอมเพราะรัก รอมคอมเรื่องใหม่จาก Netflix ปี 2020 ได้อีกที่ filmograd.net

รีวิว Desperados เสียฟอร์ม ยอมเพราะรัก รอมคอมเรื่องใหม่จาก Netflix ปี 2020

รีวิว Desperados จะเป็นเรื่องราวของหญิงสาวคนนึงที่โชคชะตา (เหมือน) จะไม่เข้าข้างเธอเลยในตอนแรกอย่าง “เวสลีย์” ที่ทั้งเพิ่งเลิกกับแฟนเก่า เงินก็ไม่มีใช้ ชีวิตสิ้นหวังสุด ๆ จนได้บังเอิญมาเจอกับ หนุ่มหล่อสุดฮอตที่สายเปย์อย่างสุด ๆ “จาเรด” ซึ่งทั้งคู่ก็เหมือนจะไปได้ด้วยดี จนกระทั่งพักหลัง ๆ จาเรดไม่ส่งข้อความ หรือติดต่อกลับมาหาเวสลีย์เลย ทำให้เธอคิดว่าเขาคงทิ้งเธอไปแล้วแน่ ๆ เธอโกรธมากและเสียใจด้วยจึงขาดสติขั้นสุดส่งอีเมลไปด่าเขาเสีย ๆ หาย ๆ เรียกได้ว่ากระหน่ำด่าเลยล่ะ จนมารู้ทีหลังว่าสาเหตุที่จาเรดไม่ได้ติดต่อกลับมาเพราะเขาประสบอุบัติเหตุจนต้องอยู่ห้อง ICU ด้วยอาการโคม่า และโทรศัพท์ของเขาก็ยังอยู่ที่เม็กซิโกระหว่างการเดินทางอีกด้วย ทีนี้แหละเป็นเหตุให้เวสลีย์ชวนเพื่อนสาวอีก 2 คนออกเดินทางไปเม็กซิโกเพื่อหวังที่จะแอบลบอีเมลที่ส่งให้เขาไปก่อนหน้านี้ให้ทันเวลา ระหว่างที่อยู่เม็กซิโกสามสาวก็มีโอกาสได้เจอกับผู้ชายที่เข้ามาในชีวิตและเสริมสร้างประสบการณ์ให้กับพวกเธอ จะว่าไปก็เป็นประสบการณ์ที่หลากหลายด้าน โดยหนังเรื่องนี้จะใส่ความคอมเมดี้ผ่านมุก 18 + เป็นส่วนใหญ่ ใครที่ชอบมุกฮาเกี่ยวกับใต้สะดือก็อาจจะถูกใจกันเป็นพิเศษ ความแสบร้ายของสามสาวก็มีให้เห็นตลอดทั้งเรื่อง แม้ว่าจะดูเป็นเรื่องสะเปะสะปะ แต่ก็มีการเพิ่มประเด็นของการเป็นตัวของตัวเองแม้ว่าจะอยู่กับคนที่เราชอบ หรือการไม่ยอมทิ้งความฝันของตัวเองก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างยิ่ง อีกทั้งเรายังได้เรียนรู้เกี่ยวกับการเลือกคู่ชีวิตว่าแท้จริงเราไม่ควรมองกันแค่เพียงรูปลักษณ์ภายนอกหรือชื่อเสียงเงินทองของเขาแม้แต่น้อย เพราะความเป็นจริงแล้วเมื่อเราต้องอยู่ร่วมกับใครสักคนสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ “การเข้ากันได้” และ “การยอมรับ” ซึ่งกันและกันมากกว่า ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับการ รีวิว Desperados ประเภท : คอมเมดี้ ผู้กำกับ : LP นักแสดงนำ : นาซิม เปเดรด,แอนนา แคมป์,ลามอร์น มอร์ริส,ร็อบบี้ อเมล ความยาว : 1 ชั่วโมง 45 นาที กำหนดฉาย : 3 กรกฎาคม 2563 หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนัง Netflix เรื่องอื่นๆ เช่น รีวิว Over the Moon เนรมิตฝันสู่จันทรา กับตำนานความรักในเทศกาลไหว้พระจันทร์ ได้อีกที่ filmograd.net

ห้ามพลาด รีวิว All Together Now หนังนอกกระแสฟีลกู้ดจาก Netflix!

ชีวิตของคนเราหลายครั้งที่ต้องพบเจอกับ “ความยากลำบาก” แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าความลำบากเหล่านั้นเองที่เข้ามาเติมเต็มความแข็งแกร่งให้กับตัวของเรา เพราะปัญหาทุกปัญหาที่ถาโถมเข้ามาจะกระตุ้นให้เรารู้จักกับการแก้ปัญหา และการทำอย่างไรให้ไม่เจอมันอีก แต่ก็ไม่รู้ว่าปัญหาบางอย่างมันจะยิ่งใหญ่เกินตัวของเด็กสาวคนนี้ไปหรือใหม่ อย่างในเรื่อง All Together Now ที่กล่าวถึงเรื่องราวของเด็กสาวคิดบวก ที่คอยแบ่งปันพลังงานบวกให้กับคนรอบข้างอยู่เสมอ อย่าง “แอมบอร์ แอพเพิลตัน” ที่มีเหตุจำเป็นต้องกลายเป็นคนไร้บ้าน ต้องมาอยู่กับแม่บนรถบัสโรงเรียน และเมื่อต้องอาบน้ำก็ต้องแอบตีเนียนห้องน้ำของที่ทำงานของแอมบอร์เอง ในตัวหนังเราจะได้เห็นมุมมองสุดดาร์กที่เกินคาดเดาของเด็กสาว ที่แม้เธอจะพยายามมองปัญหารอบตัวเป็นสิ่งที่ท้าทายและไม่ใช่บาดแผลอย่างที่หลายคนเลือกมอง มันก็ยากเกินที่จะทำใจให้เข้มแข็งได้ เพราะไม่มีใครอยากที่จะทำเป็นไม่รู้หรอกว่าตัวเองกำลังต่อสู้กับอะไรอยู่ ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่เหนื่อยเหลือเกิน แม้ว่าเราจะคาดหวังให้หนังชี้เกี่ยวกับปมของการใช้ชีวิตบนรถบัส แต่มันไม่ได้เป็นเช่นนั้น หนังได้เล่าเกี่ยวกับปมปัญหาครอบครัวที่ส่งผลต่อการใช้ชีวิตของแอมบอร์มากกว่า ซึ่งก็เป็นเรื่องดีเพราะทำให้หนังไม่ดูน่าเบื่อเกินไป แน่นอนว่าเป็นธรรมดาของหนังวัยรุ่นที่จะมีเรื่อง “รักวัยรุ่น” สอดแทรกเข้ามาหนังเรื่องนี้ก็มีเช่นกัน ซึ่งเป็นความรักที่เกิดกับนางเอกและพระเอกที่เป็นลูกเศรษฐี เธอเลือกที่จะไม่ขอวาดฝันกับมันมากเพราะรู้ว่าช่องว่างระหว่างเธอกับเขามันมากเกินไป ความสามารถด้านดนตรีที่โดดเด่นของแอมบอร์เราได้เห็นเกือบตลอดทั้งเรื่อง ทั้งการร้องเพลงที่ทำออกมาได้ดีทั้งภาคอังกฤษและไทยเอง นางเอกต้องการจะเรียนต่อที่วิทยาลัยด้านดนตรีโดยเฉพาะแต่นั้นก็ต้องใช้เงินจำนวนมากเลยทีเดียวไม่รู้ว่าเธอจะสามารถทำมันได้สำเร็จหรือไม่ ต้องคอยติดตามชมกัน ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับหนัง “All Together Now” ประเภท : วัยรุ่น ดราม่า ผู้กำกับ : เบร็ทท์ เฮลีย์ นักแสดงนำ : อัลลิ’อิ คราวัลโย,เรนชี่ เฟลิซ,จัสติน่า มาชาโด ความยาว : 1 ชั่วโมง 32 นาที กำหนดฉาย : 28 สิงหาคม 2563 หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนัง Netflix เรื่องอื่นๆ เช่น ชีวิตนี้ขอเลือกตามหัวใจตัวเอง “The Half Of It” รักครึ่ง ๆ กลาง ๆ หนังดีจาก Netflix ได้อีกที่ filmograd.net

ชีวิตนี้ขอเลือกตามหัวใจตัวเอง “The Half Of It” รักครึ่ง ๆ กลาง ๆ หนังดีจาก Netflix

“The Half Of It” กับการเล่าถึงเรื่องราวช่วงชีวิตวัยรุ่นที่ถือได้ว่าเป็นช่วงชีวิตที่ใคร ๆ ก็รู้สึกผูกพันและไม่อยากสูญเสียมันไป เพราะเราได้ทำหลายสิ่งหลายอย่างที่เราอยากทำ ได้ทดลองสิ่งที่เราได้แต่สงสัยในวันเด็ก ได้มีครั้งแรกในเกือบทุกอย่าง ได้เริ่มต้น ซึ่งเป็นภาพจำที่แสนสุขสมใจของพวกเรา แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนหรอกนะที่จะสามารถใช้ชีวิตวัยรุ่นได้ตามหัวใจตนเองอย่างแท้จริง เพราะความจริงแล้วเราต่างก็มีข้อจำกัดและแย่ที่สุดคือเราได้ปิดกั้นหัวใจของเราเองตั้งแต่ต้น หนังเรื่องนี้เป็นการเล่าชีวิตช่วงไฮสคูลของเด็กสาวเชื้อสายเอเชียที่อาศัยอยู่กับพ่อเพียงลำพังในเมืองที่แสนเงียบสงบอย่าง “เอลลี่” ที่ต้องคอยหารายได้พิเศษจากการเขียนรายงานให้เพื่อนในชั้นเรียน จากพรสวรรค์ด้านการเขียนของเธอ ทุกอย่างก็ดำเนินไปอย่างทุกวัน ถ้าสังเกตจะรู้เลยว่าชีวิตของเอลลี่ค่อนข้างจืดชืดและไร้สีสันเป็นอย่างมาก แต่แล้ววันหนึ่ง “พอล” หนุ่มนักกีฬาประจำโรงเรียนก็มาขอร้องให้เธอเขียนจดหมายรักให้ เพราะได้ยินมาว่าเธอเขียนเก่ง แต่เธอบอกปัดในตอนแรกเพราะคิดว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวและเธอไม่อยากเข้าไปก้าวก่าย แต่ด้วยเหตุจำเป็นที่บ้านเธอมีค่าใช้จ่ายเยอะ นั่นทำให้เธอตอบรับงาน และยิ่งรู้ว่าคนที่พอลตั้งใจจะเขียนถึงคือ “แอสเทอร์” สาวสวยทรงเสน่ห์ ที่เธอเองกำลังสนใจ เธอก็ยิ่งยินดี แน่นอนว่าสำนวนของเอลลี่สามารถทำให้แอสเทอร์สนใจได้ไม่อยากเลย เพราะมันเต็มไปด้วยความโรแมนติก แต่ปัญหาเกิดตอนที่พอลต้องออกเดตกับเธอต่อหน้า เพราะเขาเป็นคนที่พูดไม่เก่งซึ่งขัดกับคำพูดในจดหมายอย่างสิ้นเชิงทำให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างลำบากในช่วงแรก เขาจึงขอร้องให้เอลลี่คอยช่วย พวกเขาสองคนก็เริ่มสนิทกันมากขึ้น จนทำให้พอลเองเกิดอารมณ์หวั่นไหวไปกับเอลลี่ และการกระทำของเขาก็ทำให้รู้ว่าแท้จริงแล้วเอลลี่หลงรักแอสเทอร์มาโดยตลอดตั้งแต่แรก ยิ่งไปกว่านั้นยังทำให้เอลลี่กล้าทำตามหัวใจของตนเองในการเปิดเผยความรู้สึกที่มีต่อแอสเทอร์ และทั้งสองก็ได้พูดคุยเริ่มความสัมพันธ์ที่สวยงามกันตั้งแต่วันนั้น ส่วนตัวคิดว่าหนังเรื่องนี้เล่าด้วยโทนที่ค่อนข้างเศร้า เย็น ในตอนแรก แล้วค่อย ๆ บรรจงใส่ความอบอุ่นเข้าไปในเนื้อเรื่องผ่านมิติของตัวละครได้ค่อนข้างแนบเนียน ทำให้เราอินมากขึ้น และค่อนข้างเข้ากับโลเคชั่นในเมืองที่ค่อนข้างเงียบเหงาแม้ว่าจะมีวัยรุ่นอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากก็ตามที ดูเรื่องนี้จบความคิดที่อยากทำตามความฝันก็กระโจนเข้ามาอย่างพรั่งพรู ใครที่กำลังลังเลในการทำตามใจตนเองควรดูเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับหนังเรื่อง “The Half Of It” ประเภท : ดราม่า/LGBTQ ผู้กำกับ : อลิซ วู นักแสดงนำ : เลียห์ ลูอิส,โวล์ฟกัง โนโวกรตซ์,แดเนียล ดีเมอร์ ความยาว : 1 ชั่วโมง 44 นาที กำหนดฉาย : 2563 หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนัง Netflix เรื่องอื่นๆ เช่น รีวิว Holidate (ฮอลิเดท) หนังรักสำหรับคนเกลียดวันหยุด ที่จะทำให้คุณฟินกว่าเดิม ได้อีกที่ filmograd.net

รีวิว Holidate (ฮอลิเดท) หนังรักสำหรับคนเกลียดวันหยุด ที่จะทำให้คุณฟินกว่าเดิม

เชื่อว่าสำหรับคอหนังหลายๆคนคงจะคุ้นเคยหรือเคยได้ยินชื่อของ “McG” กันมาบ้างแล้วล่ะ ด้วยความที่เขาเคยมีผลงานการกำกับภาพยนตร์ที่เคยสร้างชื่อมาแล้วอย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นผลงานการกำกับหรือเป็นผู้อำนวยการสร้างอย่าง “Charlie’s Angels” , “Rim of the World” หรือหนังในเครือของ “The Babysitter” นั่นเอง และในวันนี้แอดจะพามาดูผลงานของเขากันอีกเรื่องอย่าง รีวิว Holidate (ฮอลิเดท) แต่ว่าในหนังเรื่องนี้นั้นเขาไม่ได้ลงมากำกับเองหรอกนะ เขาทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งในส่วนของผู้อำนวยการสร้างนั้น ยังไงกว่าหนังจะปล่อยออกมาฉายได้ก็ต้องผ่านเขาก่อนทุกขั้นตอนอยู่แล้ว เรียกได้ว่าน่าจะรับรองผลงานได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว ชื่อเรื่อง : “Holidate” (ฮอลิเดท) แนว : โรแมนติก คอมเมดี้ นักแสดง : Emma Roberts, Luke Bracey บทภาพยนตร์ : Tiffany Paulsen ผู้กำกับ : John Whitesell ค่าย : Netflix วันฉาย : 28 ตุลาคม 2020 เวลา : 01 ชั่วโมง 43 นาที IMDb : 6.3 (จากทั้งหมด 1,602 โหวต) เรื่องย่อ เรื่องราวของ “สโลน” (รับบทโดย Emma Roberts) หญิงสาวผู้ที่เกลียดวันหยุด เพราะมันเหมือนเป็นวันรวมญาติ ที่ทำให้เธอต้องโดนกดดันจากคนเป็นแม่เรื่องที่อยากให้เธอเริ่มสร้างครอบครัวของตนเองได้แล้ว และในทุกๆวันหยุดนั้นแม่ของเธอก็มักจะพยายามจับคู่กับผู้ชายให้เธอมาโดยตลอด โดยในวันหนึ่งเธอได้พบเจอเข้ากับ “แจ็คสัน” (รับบทโดย Luke Bracey) ชายผู้ที่เกลียดวันหยุดเช่นกันด้วยความบังเอิญในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ซึ่งในการพบกันของพวกเขานั้น พวกเขาทั้งคู่ได้มีการตกปากรับคำว่า จะเป็นแฟนกันในทุกๆวันหยุดแบบไม่ผูดมัดใดๆทั้งสิ้นตลอดทั้งปี รีวิว Holidate (ฮอลิเดท) เอาเป็นว่าสำหรับหนังเรื่องนี้นั้น สามารถดูได้แบบเพลินๆน่ารักดีนะ เป็นหนังแนวโรแมนติกคอมเมดี้ที่ดูแล้วไม่น่าเบื่อย่างที่คิด เพราะในหนังนั้นพยายามสอดแทรกมุกตลกมาให้เราแอบขำ แอบบอมยิ้มได้ตลอดทั้งเรื่อง อีกทั้งนางเอกในหนังเรื่องนี้ยังน่ารักมากๆ เข้าขั้นสวยได้เลยแหละ ขนาดแอดเองเป็นผู้หญิงด้วยกัน ยังหลงนางเลย แถมพระเอกของเขาก็ยังดูดีอีกด้วย เรียกได้ว่าในหนังเรื่องนี้มีคนหน้าตาดีกันทั้งเรื่องเลยจริงๆ และในส่วนของการดำเนินเรื่องนั้นก็ถือได้ว่า เดินเรื่องได้รวดเร็วมาก ไม่มีรีรออะไรเลยสักนิด เปิดเรื่องมาปุ๊ป พระเอกกับนางเอกก็ตกลงเป็นแฟนกันวันหยุดซะแล้ว ซึ่งถ้าถามหาว่าดูหนังเรื่องนี้แล้วได้อะไร แอดบอกเลยว่า มันได้ข้อคิดอย่างหนึ่งนะ นั่นก็คือ ในการที่เราจะรักใครสักคนนั้นเราควรที่จะแสดงตัวตนของเราจริงๆออกมาให้อีกฝ่ายรับรู้ ไม่ใช่เป็นการแกล้งแสดงออกมาแต่ด้านที่อีกฝ่ายต้องการ ตัวอย่าง หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนัง Netflix เรื่องอื่นๆ เช่น รีวิว Over the Moon เนรมิตฝันสู่จันทรา กับตำนานความรักในเทศกาลไหว้พระจันทร์ ได้อีกที่ filmograd.net

รีวิว Over the Moon เนรมิตฝันสู่จันทรา กับตำนานความรักในเทศกาลไหว้พระจันทร์

แอนิเมชั่นเดี๋ยวนี้ก็มีมากมายหลากหลายมากมายเลยจริงๆ ซึ่งในตอนนี้แอนิเมชั่นแนวมิวสิคัลก็ถือได้ว่าเป็นการ์ตูนที่กำลังเป็นที่นิยมเช่นกัน เพราะนอกจากเราจะได้ดูการ์ตูนที่มีเรื่องราวดีๆ ภาพการ์ตูนสวยๆแล้ว เรายังได้ฟังเพลงเพราะๆในเรื่องอีกต่างหาก อย่างในวันนี้แอดจะมาแนะนำให้ทุกคนได้ดูการตูนเรื่องใหม่จากทาง Netflix กันใน รีวิว Over the Moon ที่เพิ่งเข้าฉายได้เมื่อไม่นานมานี้เอง มาดูกันเลยดีกว่าว่าจะเป็นยังไงบ้าง ชื่อเรื่อง : “Over the Moon” (เนรมิตฝันสู่จันทรา) แนว : พจญภัย นักแสดง : Cathy Ang, Phillipa Soo, Ken Jeong, John Chom, Ruthie Ann Miles, Margaret Cho, Sandra Oh บทภาพยนตร์ : Alice Wu, Audrey Wells ผู้กำกับ : Glen Keane ค่าย : Netflix วันฉาย : 17 ตุลาคม 2020 เวลา : 01 ชั่วโมง 40 นาที IMDb : 6.8 (จากทั้งหมด 2,164 โหวต) เรื่องย่อ เรื่องราวของ “เฟย เฟย” เด็กสาวตัวน้อยที่ได้ฟังเรื่องราวที่มาที่ไปของเทศกาลขนมไหว้พระจันทร์จากแม่ของเธอเอง โดยเริ่มต้นจาก “ฉางเอ๋อ” เทพีบนดวงจันทร์ที่ต้องพลัดพรากจากคนรักอย่าง “โฮวอี้” ที่ต้องอยู่บนโลกมนุษย์นั่นเอง ซึ่งจากเรื่องเล่านี้นั้นทำให้เฟย เฟยมีความสนใจในดวงจันทร์มาโดยตลอด จนในวันหนึ่งแม่ของเธอก็เสียชีวิตไป และพ่อของเธอก็กำลังจะสร้างครอบครัวกับแม่คนใหม่พร้อมด้วยน้องชายคนใหม่ของเธออย่าง “ชิน” นั่นเอง แต่เฟย เฟยก็ไม่อาจที่จะยอมรับความรักครั้งใหม่ของพ่อเธอได้ เธอจึงต้องการจะขึ้นไปบนดวงจันทร์เพื่อหาหลักฐานว่าฉางเอ๋อนั้นมีอยู่จริง ไม่ได้เป็นเพียงแค่ตำนานอย่างที่พ่อของเธอคิดเท่านั้น รีวิว Over the Moon อย่างแรกเลยที่อยากจะบอก ก็คือการ์ตูนเรื่องนี้ได้กลิ่นอายของการ์ตูนดิสนีย์มากๆ ไม่ว่าจะเป็นลักษณะตัวละครที่มีความคล้ายคลึงกัน หรือแม้แต่ลำดับการเล่าเรื่องต่างๆ ช่างคล้ายกันเสียนี่กระไร แต่ก็นะ…เพราะว่าการ์ตูนเรื่องนี้ได้ผู้กำกับที่เคยทำงานอยู่ดิสนีย์มาถ่ายทำหนังเรื่องนี้นี่นา ถ้าไม่ได้กลิ่นอายเลยก็คงจะแปลกๆ ซึ่งสำหรับการ์ตูนเรื่องนี้นั้นองค์ประกอบทุกๆอย่างถือว่าทำออกมาได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว งานภาพสวย แถมเพลงในเรื่องก็ยังเพราะอีกต่างหาก สำหรับใครที่ยังไม่ได้ดูและคิดถึงการ์ตูนดิสนีย์นั้นแอดแนะนำว่าต้องดูการ์ตูนเรื่องนี้เลย เพราะทุกคนจะรู้สึกว่าถูกโอบกอดจากการ์ตูนดิสนีย์อีกครั้งหนึ่งหลังจากที่ห่างหายมานาน ตัวอย่าง หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนัง Netflix เรื่องอื่นๆ เช่น รีวิวหนัง “The Haunting of Bly Manor” (บลายเมเนอร์บ้านกระตุกวิญญาณ) ได้อีกที่ filmograd.net

รีวิวหนัง “The Haunting of Bly Manor” (บลายเมเนอร์บ้านกระตุกวิญญาณ)

โอ้ย…ต้องเรียกได้ว่าแอดใจแอดมากๆ สำหรับแอดที่เป็นแฟนคลับซีรี่ย์ผีหลอนๆอย่างเรื่อง “The Haunting of Hill House” ที่ในวันนี้ทางทีมผู้สร้างและนักแสดงชุดเดิมมีการยกขบวนมาสร้างซีรีย์สุดสยองขวัญในบ้านหลังใหม่กันใน “The Haunting of Bly Manor” (บลายเมเนอร์บ้านกระตุกวิญญาณ) ซึ่งแน่นอนเลยว่าแฟนคลับอย่างแอดมีหรือจะพลาดซีรี่ย์เรื่องนี้ ชื่อเรื่อง : “TheHaunting Of Bly Manor” (บลายเมเนอร์บ้านกระตุกวิญญาณ) แนว : สยองขวัญ โรแมนติก ดราม่า นักแสดง : Victoria Pedretti, Oliver Jackson-Cohen, Amelia Eve, T’Nia Miller, Rahul Kohli, Tahirah Sharif, Amelie Bea Smith, Benjamin Evan Ainsworth, Henry Thomas ผู้สร้าง : Mike Flanagan ค่าย : Netflix วันฉาย : 09 ตุลาคม 2020 จำนวนตอน : 9 ตอน IMDb : 7.6 (จากทั้งหมด 26,894 โหวต) เรื่องย่อ เรื่องราวของ “แดนี เครย์ตัน” (รับบทโดย Victoria Pedretti) หญิงสาวชาวอเมริกันที่ได้งานเป็นพี่เลี้ยงเด็ก 2 คนอย่าง “ไมล์” (รับบทโดย Benjamin Evan Ainsworth) พี่ชายวัย 10 ขวบที่เพิ่งถูกเชิญออกจากโรงเรียนประจำ และ “ฟลอร่า” (รับบทโดย Amelie Bea Smith) น้องสาวที่มีพฤติกรรมแปลกประหลาดอย่าง การคุยกับใครสักคนที่มองไม่เห็น โดยแดนีจะต้องไปอาศัยกิน-นอนที่ “บลายเมอเนอร์” คฤหาสน์โบราณใหญ่โตที่เด็กทั้ง 2 คนนี้อาศัยอยู่เลย ซึ่งในคฤหาสน์แห่งนี้ยังมี “มิสซิสโกรส” (รับบทโดย T’Nia Miller) แม่บ้านเก่าแก่ของคฤหาสน์ , “โอเว่น” (รับบทโดย Rahul Kohli) พ่อครัวสุดแสนใจดี และ “เจมี่” (รับบทโดย Amelia Eve) สาวชาวสวนอีกด้วย และในการมาของแดนีครั้งนี้ทำให้เธอต้องพบเจออะไรแปลกประหลาดที่อาจเปลี่ยนชีวิตเธอไปตลอดกาล รีวิว The Haunting of Bly Manor บอกได้คำเดียวว่า สนุกมากค่ะคุณผู้อ่านทั้งหลาย แอดต้องบอกก่อนเลยว่า ถ้าใครที่เป็นแฟนคลับซีรี่ย์ภาคก่อนอย่าง “The Haunting of Hill House” แล้วนั้น คุณต้องดูซีรี่ย์ภาคนี้ต่อเลย ถึงแม้เนื้อเรื่องมันจะไม่ใช่ภาคต่อ แถมยังเป็นโครงเรื่องใหม่เลยก็ตาม แต่ถ้าคุณได้ดูแล้วจะมีความรู้สึกเหมือนเราเข้าได้ไปอยู่ในภวังหนังเรื่องนี้อีกครั้ง เพราะสไตล์การเล่าเรื่อง รวมทั้งตัวนักแสดงเองก็ยังเป็นนักแสดงชุดเดิมจากภาคแรกอีกด้วย นั่นทำให้บรรยากาศมันเหมือนเราได้ดูฮิลเฮ้าท์อีกรอบ แต่คนละเนื้อเรื่องกันแค่นั้นเอง ซีรี่ย์ภาคต่อเรื่องนี้จะเป็นการนำเสนอเรื่องราวของผีออกมาในรูปแบบใหม่ๆ ซึ่งมันอาจจะไม่ได้หลอนเท่าภาคแรก แถมผียังออกมาน้อยอีกต่างหาก เนื่องจากว่าซีรี่ย์เรื่องนี้จะเน้นไปที่เรื่องราวดราม่าซะมากกว่า แต่มันก็เป็นดราม่าที่ดูแล้วสนุกไม่มีเบื่อเลย ซึ่งถ้าหากใครที่หวังว่าจะได้ดูซีรี่ย์หลอนๆตามสไตล์ภาคแรกนั้น เรื่องนี้อาจจะทำให้คุณผิดหวังก็เป็นได้ เพราะในภาคนี้จะให้อารมณ์เหมือนเราดูหนังดราม่าที่มีผีเป็นฉากประกอบซะมากกว่า แต่ถ้าใครที่ไม่ได้คาดหวังว่ามันจะหลอนเหมือนในภาคแรก และเลือกที่จะดูภาคนี้เพราะชื่นชอบผลงานของทีมงานสร้างเดิมนั้น แอดต้องบอกให้คุณหามาดูให้ได้เลย เพราะถึงแม้มันจะไม่ได้หลอนเท่าภาคแรกนั้น แต่ในด้านดราม่าของภาคนี้ที่ทางทีมสร้างต้องการนำเสนอนั้นก็ถือว่าทำออกมาได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว ตัวอย่าง หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนัง Netflix เรื่องอื่นๆ เช่น รีวิว Hubie Halloween (ฮูบี้ ฮาโลวีน) ไปกับการสุขสันต์วันปล่อยผี ได้อีกที่ filmograd.net

รีวิวหนัง “The Christmas Chronicles” (ผจญภัยพิทักษ์คริสต์มาส)

อ่ะ…ไหนๆก็มาทางแนววันคริสต์มาสแล้ว ก็เอาให้มันเต็มที่อีกเรื่องหนึ่งกับหนังเรื่อง “The Christmas Chronicles” (ผจญภัยพิทักษ์คริสต์มาส) จากทีมผู้สร้างเดียวกันกับ “แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับศิลาอาภรรพ์” และ “โดดเดี่ยวผู้น่ารัก” ที่สามารถทำผลงานออกมาได้อย่างโดดดังไปแล้วนั่นเอง เอาเป็นว่าเราไปดูกันเลยดีกว่าว่ามันจะเป็นยังกันบ้าง ชื่อเรื่อง : “TheChristmas Chronicles” (ผจญภัยพิทักษ์คริสต์มาส) แนว : พจญภัย แฟนตาซี นักแสดง : Kurt Russell, Judah Lewis, Darby Camp, Lamorne Morris, Kimberly Williams-Paisley, Oliver Hudson, Goldie Hawn, Martin Roach, Vella Lovell บทภาพยนตร์ : Matt Lieberman ผู้กำกับ : Clay Kaytis ค่าย : Netflix วันฉาย : 22 พฤศจิกายน 2018 เวลา : 01 ชั่วโมง 44 นาที IMDb : 7.1 (จากทั้งหมด 43,147 โหวต) เรื่องย่อ คืนวันคริสต์มาสในครอบครัวหนึ่งที่ต้องอยู่กันตามลำพัง 2 คนพี่น้องอย่าง “เท็ดดี้ ไพร์” (รับบทโดย Judah Lewis) พี่ชายในวัย 16 ปี และ “เคท ไพร์” (รับบทโดย Darby Camp) น้องสาววัย 11 ปีผู้ที่คาดหวังว่าจะมีซานต้ามาให้ของขวัญในวันคริสต์มาสที่จะถึงนี้ ซึ่งทั้งคู่นั้นมักจะเป็นคู่พี่น้องที่ทะเลาะกันเป็นประจำเลย แต่ในขณะที่พวกเขากำลังทะเลาะกันอยู่นั้น พวกเขาก็ได้ยินเสียงเดินเกิดขึ้นภายในบ้านของพวกเขาเอง ทั้งคู่จึงได้วิ่งออกไปดูและพบว่าซานตาครอสกำลังลอยอยู่ตรงหน้าของพวกเขาทั้งคู่นั่นเอง ซึ่งเคทได้นึกสนุกจึงปีนขึ้นไปบนรถของซานต้าคลอส เท็ดดี้เห็นว่าท่าไม่ดีแล้ว จึงได้ปีนตามน้องสาวขึ้นไปด้วย ในขณะเดียวกันเองซานต้าก็ออกแจกของขวัญตามบ้านต่างๆและออกรถขึ้นบินไปตามปกติ แต่หลังจากนั้นเคทรู้สึกหนาวจึงไปสกิดซานต้า นั่นทำให้ซานต้าตกใจจนรถนั่งของเขาเสียหลักจนพัง อีกทั้งถุงของขวัญที่ต้องเอาไปแจกและหมวกวิเศษของซานต้าก็ยังหายไปตอนที่รถเสียหลักอีกด้วย ซึ่งนั่นทำให้พลังวิเศษของซานตาหายไปพร้อมกับหมวกในทันทีเลยทีเดียว พวกเขาจะทำอย่างไรต่อไปในเมื่อซานต้ากลายเป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งไปซะอย่างนั้น รีวิว The Christmas Chronicles หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่บอกเล่าเรื่องราวความสัมพันธ์ของพี่น้องได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว ถึงแม้จะเป็นพี่น้องที่ไม่เข้าขา หรือเป็นพี่น้องที่ทะเลาะกันบ่อยๆก็ตาม ยังไงแล้วพี่น้องก็คือพี่น้องที่ไม่สามารถตัดกันได้ขาดหรอก อย่างในหนังเรื่องนี้ที่บอกเอาไว้ว่า ถึงแม้พี่ชายจะเป็นพี่ที่ดูไม่ได้ความ ไม่น่าพึ่งพาอะไรได้ แต่ในช่วงเวลาคับขันจริงๆ คนที่เป็นพี่ชายนี่แหละที่พร้อมจะปกป้องน้องสาวของเขาทุกวิถีทาง อีกทั้งภายใต้อุปสรรคที่พวกเขาต้องเผชิญร่วมกันนั้น ยังทำให้พวกเขาเข้าอกเข้าใจกันมากขึ้นอีกต่างหาก เอาเป็นว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ดูได้แบบเพลินๆ และยังช่วยคลายเครียดได้ดีอีกด้วย ตัวอย่าง หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนัง Netflix เรื่องอื่นๆ เช่น รีวิว Vampires VS The Bronx (แวมไพร์ บุกบรองซ์) หนังเด็กที่ต้องมาสู้กับแวมไพร์ได้อีกที่ filmograd.net

รีวิว The Knight Before Christmas (อัศวินก่อนวันคริสต์มาส)

ต้องยอมรับเลยว่า Netflix นั้นผลิตหนังรักที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับวันคริสต์มาสเยอะมากๆ และในวันนี้แอดจะพาทุกคนมาดูอีกเรื่องหนึ่งกันใน รีวิว The Knight Before Christmas (อัศวินก่อนวันคริสต์มาส) กันเลย ต้องบอกก่อนเลยว่าเรื่องราวของหนังเรื่องนี้มันอาจจะไม่ได้แปลกใหม่ หรือแปลกตามากนัก แต่ก็ถือได้ว่าเป็นหนังที่น่ารักพอตัวเลยล่ะ ชื่อเรื่อง : “The Knight BeforeChristmas” (อัศวินก่อนวันคริสต์มาส) แนว : โรแมนติก นักแสดง : Vanessa Hudgens, Josh Whitehouse, Emmanuelle Chriqui บทภาพยนตร์ : Cara J. Russell ผู้กำกับ : Monika Mitchell ค่าย : Netflix วันฉาย : 21 พฤศจิกายน 2019 เวลา : 01 ชั่วโมง 32 นาที IMDb : 5.5 (จากทั้งหมด 12,352 โหวต) เรื่องย่อ เรื่องราวของ “เซอร์โคล” (รับบทโดย Josh Whitehouse) อัศวินหนุ่มสุดหล่อจากยุคกลางที่กำลังจะขี่ม้ากลับไปที่ปราสาท โดยในระหว่างทางนั้นเขาได้เจอเข้ากับหญิงเฒ่าคนหนึ่งที่หลบอยู่หลังต้นไม้ด้วยอาการหนาวสั่นท่ามกลางหิมะ ด้วยความเป็นห่วงเซอร์โคลจึงเสนอความช่วยเหลือพาหญิงเฒ่าไปยังที่ที่ปลอดภัย แต่หญิงเฒ่าได้บอกว่าเซอร์โคลว่า เขาจะต้องเดินทางไปยังที่ที่ไกลแสนไกล พร้อมกับมอบภารกิจปริศนาให้เซอร์โคลทำให้สำเร็จลุล่วงก่อนเที่ยงคืนวันคริสต์มาส อีกทั้งยังมอบลูกแก้วเปร่งแสงให้กับเขาอีกด้วย แต่ทันใดนั้นเองเซอร์โคลก็มาปรากฏตัวอยู่ที่โอไฮโอ ยุคปัจจุบัน พร้อมกับบรรยากาศที่เขาไม่คุ้นเคยมาก่อน รีวิว The Knight Before Christmas (อัศวินก่อนวันคริสต์มาส) อย่างที่แอดเกริ่นไปตอนแรกนั้นว่าหนังเรื่องนี้จะเป็นพล็อตเรื่องเดิมๆ ไม่มีอะไรแปลกใหม่ แต่มันก็เป็นหนังที่เราสามารถดูได้แบบเพลินๆ ดูแล้วมันก็น่ารักไปอีกแบบหนึ่งนะ โดยหนังเรื่องนี้เหมาะกับการดูพร้อมกับครอบครัว หรือจะดูกับแฟนก็ฟินสุดๆเลยล่ะ ซึ่งหลังจากที่แอดได้ดูแล้วแอดก็ยังอดอมยิ้มกับความเปิ่นๆของพระเอกของเราไม่ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นคำศัพท์เชยๆที่เขาเคยใช้ในยุคกลาง หรือแม้แต่การกระทำที่แปลกๆของพระเอกในเวลาที่เจออุปกรณ์ล้ำสมัยในปัจจุบันนั่นเอง เอาเป็นว่าสำหรับใครที่กำลังมองหาหนังรักเบาๆสบายสมอง จะเลือกดูหนังเรื่องนี้ก็ได้นะ แอดว่าตัวหนังมันน่ารักในระดับหนึ่งเลย ตัวอย่าง หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนังNetflix เรื่องอื่นๆ เช่น รีวิว The Last Summer กับหนังรักที่จะชวนให้คุณคิดถึงวัยเรียนเป็นอย่างมาก ได้อีกที่ filmograd.net

รีวิว คู่มือล่าปีศาจ ฉบับพี่เลี้ยง (A Babysitter’s Guide To Monster Hunting)

จะเป็นไปได้ไหม? ที่เราจะสามารถปกป้องตัวเองจากฝันร้ายต่างๆได้ เพราะในบางทีการที่เราฝันร้ายบ่อยๆนั้น มันก็อาจจะทำให้เราจิตตกจนอาจจะเสียการเสียงานหรืออื่นๆไปโดยใช่เหตุได้ แต่ก็แน่นอนแหละว่ามันทำแบบนั้นไม่ได้ไง เราสามารถทำได้เพียงอย่างเดียวนั่นก็คือ อย่าไปจิตตกกับเรื่องราวความฝันต่างๆให้มากมายนัก ซึ่งในวัยผู้ใหญ่แบบเราแล้วก็อาจจะพอทำได้อยู่หรอกนะ แต่ถ้าคนที่ฝันร้ายนั้นเป็นเด็กๆล่ะ เขาจะสามารถรับมือกับเรื่องราวแบบนี้ได้หรือไม่ และถ้าเรารักเด็กคนนั้นด้วยแล้วล่ะก็ เราก็ต้องอยากปกป้องเขาอยู่แล้วอย่างใน รีวิว คู่มือล่าปีศาจ ฉบับพี่เลี้ยง (A Babysitter’s Guide To Monster Hunting) นั่นเอง ชื่อเรื่อง : “คู่มือล่าปีศาจ ฉบับพี่เลี้ยง” (A Babysitter’s Guide To Monster Hunting) แนว : นักแสดง : Tom Felton, Oona Laurence, Tamara Smart, Ian Ho, Tamsen McDonough บทภาพยนตร์ : Joe Ballarini ผู้กำกับ : Rachel Talalay ค่าย : Netflix วันฉาย : 15 ตุลาคม 2020 เวลา : 01 ชั่วโมง 38 นาที IMDb : 6.7 (จาก 12 โหวต) เรื่องย่อ เรื่องราวของ “เคลลี่ เฟอร์กูสัน” (รับบทโดย Tamara Smart) สาวน้อยที่ได้รับขนานนามว่า “ยัยเด็กมอนสเตอร์” เพราะเธอเคยไปเล่าให้คนอื่นฟังว่า ในสมัยเด็กว่ามีพวกมอนสเตอร์คอยจ้องจะทำร้ายเธออยู่ ซึ่งนั่นมันก็ทำให้เธอถูกมองว่าเธอสติไม่ดี แล้วก็โดนล้อเลียนมาโดยตลอด จนในวันหนึ่งรุ่นพี่ที่โรงเรียนได้ประกาศเชิญชวนทุกคนเข้าร่วมปาร์ตี้วันฮาโลวีนที่บ้านของเขา ซึ่งเคลลี่ก็หวังว่าจะเข้าร่วมปาร์ตี้นี้ด้วย แต่เธอกลับต้องไปเป็นพี่ลี้ยงเด็กให้กับลูกชายของเจ้านายแม่เธอแทน เพราะเจ้านายแม่เธอจะออกไปปาร์ตี้คืนวันฮาโลวีนนั่นเอง ซึ่งในการไปเป็นพี่เลี้ยงเด็กของเธอครั้งนี้ทำให้เธอต้องเผชิญกับเรื่องราวสุดแปลกประหลาด ที่นอกจากว่าเธอจะต้องคอยปกป้องเด็กน้อยคนนั้นจากอันตรายต่างๆแล้วเธอยังต้องคอยปกป้องเด็กน้อยจากฝันร้ายอีกด้วย รีวิว คู่มือล่าปีศาจ ฉบับพี่เลี้ยง (A Babysitter’s Guide To Monster Hunting) ต้องออกตัวก่อนเลยว่าหนังเรื่องนี้มันเป็นหนังสำหรับเด็ก ที่เรื่องที่เครียดที่สุดในวัยเด็กก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของความฝันกันหรอกใช่ไหม เพราะในบางทีการที่เรายังเป็นเด็กนั้นก็อาจจะไม่สามารถแยกแยะเรื่องราวของความจริงหรือความฝันได้หรอกใช่ไหม ซึ่งในหนังเรื่องนี้สามารถบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับฝันร้ายได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว นักแสดงหลักก็ยังคงเป็นนักแสดงเด็กๆกันอยู่เลย แต่ฝีมือการแสดงของน้องๆนี่ไม่เด็กเลยนะ เรียกได้ว่าแสดงได้ดีจนแอดอดอินตามไม่ได้เลย ถึงแม้จะมีบางช่วงที่ดูแล้วขัดหูขัดตาไปบ้าง แต่มันก็ไม่ได้น่าเกียจจนถึงขนาดน่าเบื่อ เพราะว่าเราสามารถมองข้ามมันได้อย่างง่ายๆเลยทีเดียว อีกทั้งในเรื่องนี้ยังมีสัตว์ประหลาดที่หน้าตาน่าเกียจน่ากลัวในระดับที่ถ้าหากเด็กดูก็สามารถรับได้อย่างง่ายๆเลย ซึ่งแอดคิดว่าหนังเรื่องนี้เด็กๆน่าจะชื่นชอบกันเป็นอย่างมากเลยแหละ ตัวอย่าง หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนัง Netflix เรื่องอื่นๆ เช่น รีวิว ครอบครัวข้างบ้าน (American Murder: The Family Next Door) ได้อีกที่ filmograd.net