รีวิว Vampires VS The Bronx (แวมไพร์ บุกบรองซ์) หนังเด็กที่ต้องมาสู้กับแวมไพร์

ถ้าหากคุณกำลังมองหาหนังที่ดูเพื่อผ่อนคลาย ไม่ต้องคิดอะไรมากไปกว่าเดิมนั้น แอดต้องขอแนะนำให้คุณดู รีวิว Vampires VS The Bronx (แวมไพร์ บุกบรองซ์) หนังเรื่องนี้เลย โดยหนังเรื่องนี้มันจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับแวมไพร์บุกเมือง ที่คุณสามารถรับชมไปพร้อมกับลูกๆหลานๆได้เลย เพราะมันเป็นหนังที่เบาสมองมากๆ และยังเป็นแนวที่เด็กๆน่าจะชอบกันเลยแหละ ชื่อเรื่อง : “Vampires VS. The Bronx” (แวมไพร์ บุกบรองซ์) แนว : คอมเมดี้ สยองขวัญ นักแสดง : Jaden Michael, Gerald W. Jones III, Gregory Diaz IV, Coco Jones บทภาพยนตร์ : Oz Rodriguez, Blaise Hemingway ผู้กำกับ : Oz Rodriguez ค่าย : Netflix วันฉาย : 02 ตุลาคม 2020 เวลา : 01 ชั่วโมง 26 นาที IMDb : 5.2 เรื่องย่อ เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นในย่านบรองซ์ ที่ซึ่งเป็นถิ่นเสื่อมโทรมของคนผิวสีที่อาศัยอยู่รวมกัน เป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยสิ่งไม่ดีทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นการค้ายา หรือการปล้นจี้ต่างๆ แต่ถึงแม้จะเป็นถิ่นที่ขึ้นชื่อว่าเสื่อมโทรมนั้น ผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองนี้ก็ยังคงรักเมืองที่พวกเขาอยู่กันเป็นอย่างมาก โดยในวันหนึ่งได้มีนายทุนผิวขาวเข้ามาทำการขว้านซื้อกิจการร้านค้าหรือแม้แต่บ้านที่อยู่อาศัยในเมืองนี้มากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อเอาไปสร้างกิจการใหญ่ๆนั่นเอง แต่ความจริงแล้วในการซื้อขายครั้งนี้กลับมีความลับบางอย่างซ่อนอยู่ ซึ่งผู้ที่ค้นพบความลับนี้เป็นเพียงเด็กหนุ่ม 3 คนอย่าง “มิเกล” (รับบทโดย Jaden Michael), “หลุยส์” (รับบทโดย Gregory Diaz IV) และ “บ็อบบี้” (รับบทโดย Gerald W. Jones III) เท่านั้น พวกเขาจึงต้องลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อนำความสงบสุขกลับมาสู่เมืองที่พวกเขาอยู่อีกครั้ง รีวิว Vampires VS The Bronx (แวมไพร์ บุกบรองซ์) สำหรับหนังเรื่องนี้ต้องเรียกได้ว่า เป็นหนังที่น่าจะผลิตออกมาให้เด็กๆรับชม เพราะเนื้อเรื่องประมาณนี้แอดคิดว่าเด็กๆน่าจะชอบ เพราะเนื้อเรื่องมันไม่ได้หนักอะไรมากมาย ไม่มีฉากที่น่ากลัวเลือดสาดมากเท่าไรนัก อีกทั้งยังมีการเดินเรื่องได้อย่างรวดเร็ว ไม่ยืดเยื้อ แต่ถ้าหากผู้ใหญ่อย่างเราต้องการที่จะรับชมหนังเรื่องนี้ คือมันก็เป็นหนังที่สามารถดูได้แบบเพลินๆ แต่ถ้าหากคุณคาดหวังให้หนังเรื่องนี้มันมีเนื้อเรื่อง การเล่าเรื่องที่แปลกใหม่ หรือตื่นเต้นเร้าใจ หนังเรื่องนี้ก็อาจจะยังไม่ตอบโจทย์คุณสักเท่าไร ตัวอย่าง หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนัง Netflix เรื่องอื่นๆ เช่น รีวิว The Princess Switch (สลับตัว ไม่สลับหัวใจ) กับเรื่องราวน่ารักๆสบายสมอง ได้อีกที่ filmograd.net

รีวิว The Binding (พันธนาการมืด) กับการบอกเล่าเรื่องราวไสยศาสตร์จากอิตาลี

ว่ากันด้วยเรื่องของไสยศาสตร์ หรือเรื่องราวความเชื่อต่างๆนั้นก็คงต้องยกให้ประเทศไทยเราเลย แต่ในวันนี้แอดจะพาทุกคนมาดำดิ่งไปกับเรื่องราวไสยศาสตร์ของประเทศอิตาลีกันดูว่า มันจะเป็นยังไง และจะแปลกแตกต่างไปจากบ้านเรามากน้อยแค่ไหนกันแน่? ใน รีวิว The Binding (พันธนาการมืด) ชื่อเรื่อง : “The Binding” (พันธนาการมืด) แนว : สยองขวัญ นักแสดง : ริคคาร์โด สกามาร์ซิโอ, มีอา มาเอสโตร บทภาพยนตร์ : ดาเนียล คอสซี, โดเมนิโก้ เดอ เฟาดิส ผู้กำกับ : โดเมนิโก้ เดอ เฟาดิส ค่าย : Netflix เวลา : 01 ชั่วโมง 33 นาที IMDb : 4.7 เรื่องย่อ เรื่องราวของ “เอ็มม่า” หญิงสาวแม่ม่ายลูกติดคนหนึ่งที่มีชื่อว่า “โซเฟีย” ซึ่งเธอนั้นได้พบรักกับ “ฟรานซิสโก้” ชายหนุ่มคนหนึ่ง โดยเอ็มม่าและฟราซิสโก้ได้วางแผนเอาไว้ว่าจะแต่งงานกันในระยะเวลาอันใกล้นี้ พวกเขาจึงได้วางแผนในการใช้วันหยุด เพื่อเดินทางไปพบกับแม่ของฟราซิสโก้ที่อยู่ทางตอนใต้ของประเทศอิตาลี ซึ่งเมื่อเดินทางไปถึงแล้วเอ็มม่ากลับพบว่าแม่ของชายหนุ่มที่เธอรักมีอะไรแปลกๆไป เหมือนจะเป็นหมอผีก็ไม่เชิง เพราะแม่ของฟราซิสโก้มีการใช้คุณไสยเพื่ออะไรหลายๆอย่างอีกด้วย แต่แล้วก็มีเหตุการณ์แปลกๆเกิดขึ้นกับลูกสาวของเธอเอง โดยเริ่มจากการละเมอลุกขึ้นมาทำร้ายตัวเอง และหลังจากนั้นลูกสาวเธอก็ได้โดนแมงมุมกัด ซึ่งไม่ว่าจะพาไปหาหมอที่ไหนก็ยังไม่ดีขึ้น แถมยังแย่ลงเรื่อยๆอีกต่างหาก นั่นก็เพราะว่าลูกสาวของเธอโดนคุณไสยเล่นงานด้วยการผูกพันธะจากใครสักคนเข้าให้แล้ว รีวิว The Binding” (พันธนาการมืด) หนังเรื่องนี้เริ่มต้นพล็อตเรื่องได้น่าสนใจเป็นอย่างมาก เพราะมันเป็นเนื้อเรื่องที่ค่อนข้างแปลกใหม่ แต่ในส่วนของการเล่าเรื่องนั้นยังไม่ค่อยดีเท่าที่ควร กว่าจะมีการเข้าถึงเนื้อเรื่องจริงๆก็ปาไปครึ่งเรื่องได้แล้ว อีกทั้งเรื่องราวยังไม่มีที่มาที่ไปสักเท่าไร อยู่ดีๆคิดอยากจะพูดถึงก็พูด แต่ถ้าไม่อยากพูดถึงแล้วก็ตัดจบไปง่ายๆซะอย่างนั้น มีอยู่อย่างเดียวที่แอดว่าหนังเรื่องนี้ทำออกมาได้ดี นั่นก็คือน้องนักแสดงเด็กที่แสดงเป็นลูกของเอ็มม่านั่นเอง คือเธอแสดงได้ดี สมบทบาท ดูแล้วชวนให้เราแอบหลอนได้เบาๆ ตัวอย่าง หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนัง Netflix เรื่องอื่นๆ เช่น รีวิวหนัง “A Christmas Prince” (เจ้าชายคริสต์มาส) กับหนังน่ารักๆอีกหนึ่งเรื่อง ได้อีกที่ filmograd.net

รีวิว Johnny English Strikes Again กับการกลับมาของสายลับรุ่นใหญ่

หากจะพูดถึงหนังที่มีเรื่องเกี่ยวกับการปฏิบัติภารกิจที่ไม่เคร่งเครียดเกินไปนั้น คงหนีไม่พ้นหนังในตระกูลJohnny English กันหรอกใช่ไหม? และในวันนี้เราจะพาทุกคนมาดูอีกหนึ่งในหนังตระกูลนี้กันกับ รีวิว Johnny English Strikes Again ซึ่งแอดต้องบอกก่อนเลยว่า ภาคนี้น่าจะเป็นภาคล่าสุดของหนังเรื่องนี้ก็เป็นได้ อีกอย่างตัวนักแสดงหลักเองในปัจจุบันนี้ก็อายุค่อนข้างมากแล้วด้วย ชื่อเรื่อง : “Johnny English Strikes Again” แนว : ตลกแอคชั่นล้อเลียน นักแสดง : Rowan Atkinson, Ben Miller, Olga Kurylenko, Jake Lacy, Emma Thompson บทภาพยนตร์ : William Davies ผู้กำกับ : David Kerr ค่าย : Universal Pictures วันฉาย : 26 ตุลาคม 2018 เวลา : 01 ชั่วโมง 29 นาที IMDb : 6.2 เรื่องย่อ เรื่องราวของการกลับมาอีกครั้งของ “จอนห์นนี่ อิงลิช” (รับบทโดย Rowan Atkinson) สายลับที่เพี้ยนที่สุดในอังกฤษ โดยในครั้งนี้เขาถูกเรียกตัวจาก MI 7 อีกครั้ง หลังจากที่เขาเกษียณตัวเอง และไปเป็นคุณครูสอนเด็กประถมที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง ซึ่งการในเรียกตัวครั้งนี้ จอห์นนี่จะต้องไปไปปฏิบัติภารกิจสุดไฮเทค จากนักจารกรรมไซเบอร์ที่สร้างความวุ่นวายให้กับเมืองลอนดอน อีกทั้งในครั้งนี้เขาก็ยังได้ปฏิบัติภารกิจร่วมกันกับคู่หูของเขาอย่าง “บอร์ฟ” (รับบทโดย Ben Miller) เหมือนเดิมอีกด้วย รีวิว Johnny English Strikes Again คงไม่ต้องพูดอะไรมากสำหรับหนังเรื่องนี้ เพราะตัวหนังนั้นเน้นไปที่เรื่องความความบันเทิงอยู่แล้ว ซึ่งต้องบอกก่อนเลยว่าหากคุณต้องการดูหนังที่บันเทิง เพื่อผ่อนคลายสมองนั้น หนังเรื่องนี้ก็สามารถตอบโจทย์คุณได้เป็นอย่างดีเลย เพราะมันสามารถดูได้แบบเพลินๆ มีแอบยิ้มมุมปากบ้างบางมุกที่หนังแสดงออกมา แต่ถ้าหากคุณต้องการหนังที่มีเนื้อหาสาระแบบเข้มข้น หนังเรื่องนี้อาจจะไม่ตอบโจทย์คุณสักเท่าไร อีกทั้งหนังเรื่องนี้ยังเน้นไปที่การขายความตลกจากภาษากายซะเป็นส่วนมาก ดังนั้นมันอาจจะไม่ได้มีบทพูดที่ทำให้เราตลกจนขำกลิ้งกันสักเท่าไร สำหรับใครที่จะดูหนังเรื่องนี้คือคุณสามารถดูได้แบบไม่ต้องคิดอะไรซับซ้อน หรือต้องมาคอยคิดว่ามุกที่หนังต้องการจะสื่อมันหมายถึงอะไรเลย ตัวอย่าง หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนังต่างประเทศเรื่องอื่นๆ เช่น รีวิว Lingering โรงแรมผีจอง(เวร) หนังผีสัญชาติเกาหลีที่ไม่ได้มีมาบ่อยๆ ได้อีกที่ filmograd.net

รีวิว ปริศนามนุษย์กลของอูโก้ หนังที่จะพาคุณย้อนวัยไปด้วยกันอีกครั้ง

ในยุคสมัยนี้เทรนด์ยุค 80-90 กำลังมาแรงในทุกวงการเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นสถานที่เที่ยวเปิดใหม่ต่างๆที่ชวนพาเราย้อนวัยไปเป็นเด็กอีกครั้ง หรือแม้แต่การแต่งตัวต่างๆ ก็จะออกแนวเป็นการแต่งตัวย้อนยุคกันซะส่วนมากเลย  แต่ถ้าหากยังไม่จุใจพอ วันนี้เราจะพาทุกคนมาย้อนกลับไปดู รีวิว ปริศนามนุษย์กลของอูโก้ หนังที่ผลิตมาเพื่อทุกๆคนที่โหยหาอดีตกันเป็นอย่างดีเลยทีเดียว อีกทั้งหนังเรื่องนี้ยังถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ 11 สาขา แต่ได้รับรางวัลมาทั้งหมด 5 สาขาเลยทีเดียว ชื่อเรื่อง : “ปริศนามนุษย์กลของอูโก้” แนว : ย้อนวัย ,พจญภัย นักแสดง : Ben Kingsley, Sacha Baron Cohen, Asa Butterfield, Chloë Moretz, Ray Winstone, Emily Mortimer, Christopher Lee, Helen McCrory, Michael Stuhlbarg, Frances de la Tour, Richard Griffiths, Jude Law บทภาพยนตร์ : John Logan ผู้กำกับ : Martin Scorsese ค่าย : Paramount Pictures วันฉาย : 16 กุมภาพันธ์ 2012 เวลา : 02 ชั่วโมง 05 นาที IMDb : 7.5 เรื่องย่อ เรื่องราวของ “อูโก้” (รับบทโดย Asa Butterfield) เด็กหนุ่มที่อาศัยอยู่เพียงลำพังกับพ่อที่เป็นช่างซ่อมนาฬิกา ซึ่งทั้งคู่ได้ชื่นชอบภาพยนตร์ผลงานการกำกับของ “ณอร์ฌ เมริเย่” (รับบทโดย Ben Kingsley) เป็นอย่างมาก แต่ในวันหนึ่งพ่อของอูโก้ได้เสียชีวิตไปจากอุบัติเหตุ นั่นทำให้ชีวิตของอูโก้ต้องเปลี่ยนไป โดยเขาจะต้องใช้ชีวิตแบบลับๆอยู่ภายในสถานีรถไฟ พร้อมกับหุ่นยนต์ตัวหนึ่งที่พ่อของเขาซ่อมค้างไว้ก่อนที่จะเสียชีวิตไป อูโก้จึงพยายามทำทุกทางเพื่อที่จะซ่อมหุ่นยนต์ตัวนี้ต่อจากพ่อให้เสร็จ เพราะรู้ดีว่าพ่อของเขาต้องทิ้งความลับอะไรไว้ให้ รีวิว ปริศนามนุษย์กลของอูโก้ สำหรับหนังเรื่องนี้ออกจากเก่าไปสักนิด แต่ถ้าคุณลองเปิดใจดูมัน ก็จะพบว่านอกจากคุณภาพด้านงานภาพที่สามารถทำออกมาได้เป็นอย่างดีแล้วนั้น คุณภาพงานทางด้านอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการตัดต่อ หรือเทคนิคพิเศษต่างๆ ก็สามารถทำออกมาได้ดีไม่แพ้กันเลย ถือได้ว่าเป็นหนังที่ทำออกมาได้ดีที่สุดในยุคนั้นเลยก็ว่าได้ อีกทั้งหนังยังมีคงประเด็นที่ต้องการเล่าเอาไว้ได้อย่างชัดเจน และบทก็ยังดีมากๆอีกด้วย  โดยมันจะเป็นหนังที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับคุณค่าของความทรงจำในอดีตที่ถูกหลงลืมไปตามกาลเวลาเป็นหลักเลย ตัวละครของเรื่องจึงมีแต่ตัวที่ดูเหมือนว่าไร้ค่า ไร้ตัวตน ไม่ว่าจะเป็นเด็กกำพร้าที่ต้องซ่อนตัวอยู่ภายในนาฬิกาของเมือง ,หุ่นยนต์เก่าๆที่ถูกทิ้งไว้ หรือแม้แต่ผู้กำกับหนังที่เคยมีชื่อเสียงโด่งดังที่ตกต่ำจนต้องมาเปิดร้านขายของเล่นที่สถานีรถไฟ ตัวอย่าง หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนังต่างประเทศเรื่องอื่นๆ เช่น รีวิว Lingering โรงแรมผีจอง(เวร) หนังผีสัญชาติเกาหลีที่ไม่ได้มีมาบ่อยๆ ได้อีกที่ filmograd.net

รีวิว Lingering โรงแรมผีจอง(เวร) หนังผีสัญชาติเกาหลีที่ไม่ได้มีมาบ่อยๆ

ว่าด้วยเรื่องราวผีๆนั้น ทุกคนคงจะคุ้นเคยกับโรงแรมผีมาไม่มากก็น้อยแหละ เพราะโรงแรมนั้นถือได้ว่าเป็นสถานที่ที่เหมาะกับการเล่าเรื่องผีมากๆ อาจจะด้วยความที่เป็นสถานที่ที่มีผู้คนเข้า-ออกบ่อยๆ อีกทั้งผู้คนที่เข้าพักนั้น เราก็ไม่มีทางรู้ได้ว่าใครเข้าไปทำอะไรหรือเปล่า และในวันนี้เราจะพาทุกคนมาดูหนังผีกันใน รีวิว Lingering โรงแรมผีจอง(เวร) ที่เรื่องนี้มันน่าสนใจก็เพราะว่า มันเป็นหนังผีสัญชาติเกาหลี ที่ต้องบอกเลยว่าไม่ได้มีมาบ่อยๆนะจ๊ะทุกคน ชื่อเรื่อง : “Lingering” โรงแรมผีจอง(เวร) แนว : สยองขวัญ นักแสดง : อีเซยอง, ปาร์ค จิ ยอง, พัก โซ-หยี บทภาพยนตร์ : ยุนอึนคยอง ผู้กำกับ : ยุนอึนคยอง วันฉาย : 20 สิงหาคม 2020 เวลา : 01 ชั่วโมง 45 นาที เรื่องย่อ เรื่องราวของ “ยูมิ” (รับบทโดย อีเซยอง) ที่ต้องการเดินทางไปเยี่ยมเยียนเพื่อนสนิทของแม่ เธอจึงออกเดินทางไปพร้อมกับน้องสาวของเธอ และได้เข้าไปเช็คอินเข้าพักที่โรงแรมติดทะเลสาบลึกลับแห่งหนึ่ง แต่หลังจากที่เข้าพักได้ไม่นาน เธอกลับต้องเจอเรื่องราวแปลกๆมากมาย จนกลายเป็นค่ำคืนสุดสยองที่เธอจะไม่มีวันลืมได้เลย รีวิว Lingering โรงแรมผีจอง(เวร) ขึ้นชื่อว่าเป็นหนังที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับโรงแรมผีนั้น ทุกคนก็คงจะคิดกันใช่ไหมว่ามันคงจะเป็นพล็อตเรื่องเดิมๆ ไม่น่าจะมีอะไรแปลกใหม่ไปจากเดิมเท่าไรนัก อีกทั้งยังเป็นหนังผีจากประเทศเกาหลี ที่เขาไม่ค่อยผลิตหนังแนวนี้ออกมาอยู่แล้วด้วย แอดขอบอกเลยว่าที่ทุกคนคิดนั้นถูกต้องแล้วล่ะ เพราะว่าหนังเรื่องนี้มันไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ไปจากเดิมเลยจริงๆ หรืออาจจะเป็นเพราะเราอยู่ในประเทศที่หนังผีถือได้ว่าเป็นหนังที่ดีที่สุดของไทยแล้วก็เป็นได้ เราก็เลยอาจจะชินกับเรื่องราวแบบนี้ไปแล้ว แต่หนังเรื่องนี้มันมีจุดที่น่าสนใจตรงที่การสืบสวนสอบสวนที่ทางผู้ผลิตสามารถทำออกมาได้น่าสนใจเลยทีเดียว แต่รวมๆแล้วหนังเรื่องนี้อาจจะไม่น่ากลัวมากมายอย่างที่ทุกคนหวัง แต่ในส่วนของเนื้อเรื่องและงานฉากนั้น ถือว่าทำออกมาได้ดีพอสมควรเลย ตัวอย่าง หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนังต่างประเทศเรื่องอื่นๆ เช่น รีวิว Enola Holmes กับการไขคดีของนักสืบสาว ดีกรีน้องสาวเชอร์ล็อก โฮล์ม ได้อีกที่ filmograd.net

รีวิวหนังเรื่อง In The Shadow Of The Moon (ย้อนรอยจันทรฆาต)

สำหรับตอนนี้คงต้องยอมรับเลยว่าหนังที่มีการเล่นเรื่องราวเกี่ยวกับการท่องเวลา มันยังคงเป็นอะไรที่แปลกใหม่ และสามารถแตกแขนงแยกออกไปได้เยอะมากๆ ไม่เว้นแม้กระทั่ง รีวิว In The Shadow Of The Moon (ย้อนรอยจันทรฆาต) หนังเรื่องนี้ ที่มีการหยิบยกเรื่องราวแนวการท่องเวลาเอามาเล่าได้อย่างน่าสนใจเอามากๆ ชื่อเรื่อง : “In The Shadow OfThe Moon” (ย้อนรอยจันทรฆาต) แนว : ไซไฟ นักแสดง : Boyd Holbrook, Cleopatra Coleman, Michael C. Hall บทภาพยนตร์ : Gregory Weidman, Geoff Tock ผู้กำกับ : Jim Mickle ค่าย : Netflix วันฉาย : 27 กันยายน 2019 เวลา : 1 ชั่วโมง 55 นาที IMDb : 6.2 เรื่องย่อ เรื่องราวของ “โทมัส ล็อคฮาร์ท” (รับบทโดย Boyd Holbrook) ตำรวจนักสืบหนุ่มที่หมกมุ่นอยู่กับคดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่จะโผล่ออกมาฆาตกรรมในทุกๆ 9 ปี โดยเหยื่อทุกรายนั้นจะมีรูเหมือนเข็มแทง 3 รูที่หลังคอ และจะเสียชีวิตเพราะขาดเลือด เนื่องจากเลือดไหลหมดตัวนั่นเอง แถมตัวฆาตกรต่อเนื่องนั้นยังรู้จักเขาดีอย่างกับเคยรู้จักกันมาก่อนอีกด้วย และตัวฆาตกรนั้นยังมีการพูดทิ้งท้ายก่อนจากไปเอาไว้ว่า หาก “เขาฆ่าเธอ มันจะทำให้โลกใบนี้สูญสลายไป” นั่นทำให้โทมัสหมกมุ่นอยู่กับคดีที่ยังไขไม่ได้นี้มาตลอดชีวิต จนทำให้ผู้คนรอบข้างมองว่าเขาไม่เป็นผู้เป็นคนไปแล้ว รีวิว In The Shadow Of The Moon สำหรับเรื่องนี้ต้องยอมรับเลยว่า เนื้อเรื่องเปิดตัวได้อย่างน่าสนใจมากๆ ฉากบู๊ ฉากแอคชั่นต่างๆ อาจจะพูดได้ว่า ถ้าหนังเรื่องนี้ถ้ามีทุนสร้างมากกว่านี้ น่าจะสามารถสร้างออกมาอย่างใหญ่โตได้เลย แต่เสียดายที่ทุนการสร้างน่าจะน้อยไปนิด ก็เลยรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้มันสนุกแต่ยังไม่สุดสักที เนื้อเรื่องเราสามารถเดาทางออกได้ ซึ่งมันมีอยู่อย่างหนึ่งที่เราว่ามันค่อนข้างพีคพอสมควร นั่นก็คือ ตอนแรกที่ดูเราไม่ได้คิดเลยนะว่าจะมีการหยิบยกเรื่องราวเกี่ยวกับการท่องเวลามาเล่าให้ฟัง เพราะมันเปิดเรื่องด้วยฆาตกรต่อเนื่องเพียงเท่านั้นเอง เอาเป็นว่าหนังเรื่องนี้เราก็สามารถดูได้เพลินๆอยู่นะ แต่เราขอเตือนนิดหนึ่งว่า หนังเรื่องนี้มันค่อนข้างโหดพอตัวเลย มีฉากที่มีสมองไหลนองเต็มพื้น เลือดท่วมตัวเลย เอาเป็นว่าทุกคนสามารถดูหนังเรื่องนี้ไปแบบสบายๆเลย แต่ถ้าหากใครที่ไม่ชอบหนังแนวการท่องเวลาเรื่องนี้อาจจะไม่ตอบโจทย์คุณสักเท่าไร ตัวอย่าง หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนัง Netflix เรื่องอื่นๆ เช่น รีวิว How It Ends ไปกับเรื่องราวเกี่ยวกับเหตุการณ์หายนะบางอย่าง ได้อีกที่ filmograd.net

รีวิว How It Ends ไปกับเรื่องราวเกี่ยวกับเหตุการณ์หายนะบางอย่าง

หนังที่บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับวันสิ้นโลกนั้นมีอยู่มากมายหลายเรื่องมาก ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็จะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการเอาชีวิตรอดหลังจากนั้นซะมากกว่า ซึ่งในวันนี้เราจะพาทุกคนมาดูหนังเรื่องหนึ่งไปกับ รีวิว How It Ends ที่จะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเหตุการณ์หายนะบางอย่าง ที่อาจจะทำให้โลกของเราเปลี่ยนแปลงไปตลอด ซึ่งมันเป็นเหตุการณ์ที่เราไม่อาจสามารถที่จะอธิบายออกมาเป็นคำพูดให้ทุกคนเข้าใจได้ เอาเป็นว่า เราไปดูรีวิวหนังเรื่องนี้กันเลยดีกว่า ชื่อเรื่อง : “How It Ends” แนว : แอคชั่นระทึกขวัญ นักแสดง : Theo James, Forest Whitaker, Grace Dove, Kat Graham, Mark O’Brien บทภาพยนตร์ : Brooks McLaren ผู้กำกับ : David M. Rosenthal ค่าย : Netflix วันฉาย : 13 กรกฎาคม 2018 เวลา : 1 ชั่วโมง 53 นาที IMDb : 5.0 เรื่องย่อ เรื่องราวของ “วิล” (รับบทโดย Theo James) ทนายความหนุ่มที่ต้องเดินทางไปทำธุระที่ชิคาโก้ จึงได้แวะไปเยี่ยมเยียน “ทอม” (รับบทโดย Forest Whitaker) พ่อตาของเขา ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างวิลและทอมนั้นไม่ค่อยสู้ดีนัก เรียกได้ว่าเข้ากันไม่ได้เลยซะมากกว่า จนเมื่อวิลทำธุระเสร็จแล้ว ก็กำลังจะเดินทางไปสนามบินเพื่อบินกลับไปหาแฟนสาวของตัวเอง แต่วิลกลับพบว่าเที่ยวบินทุกเที่ยวบินถูกยกเลิกทั้งหมดซะอย่างนั้น อีกทั้งเขายังไม่สามารถติดต่อ “ซาแมนทา” (รับบทโดย Kat Graham) แฟนสาวของเขาได้อีก วิลจึงตัดสินใจกลับไปหาทอม พ่อตาของเขาอีกครั้ง นั่นทำให้ทั้งคู่ตัดสินใจขับรถมากกว่าพันไมล์เพื่อเดินทางกลับไปหาคนที่พวกเขารักมากที่สุด โดยไม่สนใจว่าทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไร รีวิว How It Ends เรื่องราวจะเล่าเหมือนเป็นเหตุการณ์ที่อาจจะสร้างหายนะอะไรบางอย่าง ที่ทำให้ผู้คนต้องหาทางเอาตัวรอดให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นการจี้ การปล้น การฆ่า เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการมา เรียกได้ว่ามันอาจจะเป็นพล็อตเรื่องของหนังที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับวันสิ้นโลกธรรมดาๆทั่วไป แต่เอาจริงๆหนังเรื่องนี้จะเน้นไปที่เรื่องราวของความสัมพันธ์ระหว่างพ่อตา-ลูกเขย ที่ไม่ค่อยจะลงรอยกันซะมากกว่า โดยหนังเรื่องนี้จะใช้การเดินทางเป็นการบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมด เรื่องราวความสัมพันธ์ของพ่อตา-ลูกเขยนั้นเริ่มต้นด้วยการไม่ลงรอยต่อกันจนถึงขนาดที่พ่อตามองข้ามไปจนถึงวันที่ลูกเขยและลูกสาวของเขาเลิกราต่อกันซะด้วยซ้ำ แต่ในที่สุดต่างฝ่ายต่างเข้าใจกันและกันเป็นอย่างดีภายใต้สถานการณ์คับขันที่โลกกำลังจะสูญสิ้นไป สิ่งที่เรารู้สึกรำคาญมากในหนังเรื่องนี้เลย นั่นก็คือพฤติกรรมของวิล ตัวหลักของเรื่องนั่นเอง ที่เขาชอบทำ หรือเชื่อคำพูดของคนอื่นๆ จนทำให้เหตุการณ์มันเลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งหนังเรื่องนี้ยังไม่มีการบอกเล่าเรื่องราวอะไรกับคนดูอย่างเรามากมายไปกว่า การบอกว่ามันมีเหตุการณ์ภัยพิบัติบางอย่างเกิดขึ้นในช่วงแรกของหนังเพียงเท่านั้น แต่เราก็อดทนดูจนจบ เพื่อหวังเพียงว่า ตอนท้ายของหนังน่าจะมีการเฉลยถึงที่มาที่ไป หรือเฉลยอะไรบางอย่างบ้างให้เราได้รู้บ้าง แต่พอดูจนจบแล้วเราก็ยังไม่ได้คำตอบใดๆจากหนังเรื่องนี้เลย ตัวอย่าง หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนัง Netflix เรื่องอื่นๆ เช่น รีวิว Enola Holmes กับการไขคดีของนักสืบสาว ดีกรีน้องสาวเชอร์ล็อก โฮล์ม ได้อีกที่ filmograd.net

รีวิว Enola Holmes กับการไขคดีของนักสืบสาว ดีกรีน้องสาวเชอร์ล็อก โฮล์ม

ถ้าพูดถึงเรื่องหนังแนวสืบสวนที่เกรดดี ๆ หน่อย ก็คงหนีไม่พ้นหนังเรื่อง “Sherlock Holmes” กันหรอกใช่ไหม แต่วันนี้เราจะพาทุกคนมาดูในอีกมุมมองหนึ่งของหนังแนวเดียวกันนี้ ใน รีวิว Enola Holmes ซึ่งเป็นหนังที่มีเค้าโครงมาจากนิยายชุด “The Enola Holmes Mysteries” ที่เขียนโดย  Nancy Springer นั่นเอง เดิมทีแล้ว ก่อนหน้านี้มีคดีความฟ้องร้องกันอยู่ในข้อหาเรื่องของลิขสิทธิ์ในข้อหาที่ใช้ตัวละคร เชอร์ล็อก โฮล์ม หลังจากที่ยังไม่หมดลิขสิทธิ์ Public Domain (สาธารณสมบัติ ที่มีอายุ 50 ปีหลังจากที่เจ้าของลิขสิทธิ์เสียชีวิตไป) แต่เราคิดว่าทั้ง 2 ฝ่ายน่าจะเคลียร์กันเรียบร้อยแล้วล่ะ ทาง Netflix ถึงได้เอาหนังมาลงได้ เอาเป็นว่า… เรามาดูกันเลยดีกว่าว่าหนังเรื่องนี้มันเป็นยังไงบ้าง ไปเล้ยยยย! ชื่อเรื่อง : “Enola Holmes” แนว : ลึกลับ ,สืบสวน นักแสดง : Millie Bobby Brown, Sam Claflin, Henry Cavill, Helena Bonham Carter บทภาพยนตร์ : Jack Thorne ผู้กำกับ : Harry Bradbeer ค่าย : Netflix วันฉาย : 23 กันยายน 2020 เวลา : 02 ชั่วโมง 03 นาที IMDb : 6.7 เรื่องย่อ เรื่องราวของ “เอโนล่า โฮล์ม” (รับบทโดย Millie Bobby Brown) น้องสาวของเชอร์ล็อก โฮล์ม นักสืบชื่อดัง เธอพบว่าแม่ของเธอหายตัวไป เธอจึงตั้งใจออกไปตามหาแม่ที่เลี้ยงเธอมาด้วยตัวคนเดียวมาโดยตลอด โดยแม่ของเธอไม่เคยสอนในเรื่องราวเกี่ยวกับผู้หญิงเลยสักอย่าง แต่… แม่ของเธอมักจะชอบสอนทักษะการเอาตัวรอดต่าง ๆ รวมทั้งทักษะการต่อสู้ให้เธอมาตั้งแต่เด็ก ซึ่งในการหายตัวไปของแม่ในครั้งนี้ ทำให้พี่ชายทั้ง 2 คนของเธอที่ประกอบไปด้วย “ไมครอฟต์ โฮล์ม” (รับบทโดย Sam Claflin) และ “เชอร์ล็อก โฮล์ม” (รับบทโดย Henry Cavill) กลับมามีบทบาทในชีวิตเธอมากขึ้น โดย ไมครอฟต์ โฮล์ม นั้นพยายามที่จะบังคับให้เธอเข้าเรียนในโรงเรียนสตรีตามธรรมเนียมของอังกฤษในสมัยนั้น ส่วน เชอร์ล็อก โฮล์ม ก็ออกตามหาแม่ที่หายตัวไปนั่นเอง แต่ในขณะเดียวกัน เอโนล่า ก็หนีออกจากบ้าน เพื่อออกตามหาแม่ของเธอที่ลอนดอน ตามที่แม่ของเธอได้ทิ้งเบาะแสเอาไว้ให้ รีวิว Enola Holmes เรียกได้ว่า หนังเรื่องนี้เป็นหนังเรื่องที่ต่อยอดจากเรื่องเชอร์ล็อกโฮล์มได้อย่างดีเลยทีเดียว ถึงแม้เนื้อเรื่องจะไม่ได้ต่อกันก็ตาม แต่นั่นก็ทำให้คนที่ไม่เคยดูเชอร์ล็อกโฮล์มมาก่อน ก็สามารถดูหนังเรื่องนี้ได้อย่างเข้าใจได้สบาย ๆ โดยหนังเรื่องนี้จะไม่ได้เน้นไปที่การไขคดีของ เชอร์ล็อก โฮล์ม มากเท่าไรนัก เพราะหนังเรื่องนี้จะเน้นไปที่ เอโนล่า เป็นหลักเลย ไม่ว่าจะเป็นฉากบู๊ หรือฉากการไขคดีต่าง ๆ อีกทั้งหนังเรื่องนี้ยังใช้การเล่าเรื่องที่เปรียบเสมือนมีคนๆหนึ่งมาเล่าเรื่องราวในชีวิตตัวเองให้ฟังได้อย่างน่าสนใจ โดยใช้ตัวหลักอย่างเอโนล่าในการหันมาพูดคุยกับคนดูได้อย่างเป็นธรรมชาตินั่นเอง แล้วไหนจะได้ Millie Bobby Brown หรือที่เรารู้จักกันในนามของ “แอล จากสเตนเจอร์ธิงค์” มารับบทเอโนล่า ที่ดูจะซ่าส์ ก๋ากั่น เข้ากับตัวเธอมากๆ ซึ่งหนังเรื่องนี้เราต้องยกให้ Millie Bobby Brown เป็นเจ้าหญิงเลย เพราะหนังเรื่องนี้เธอสวยมากๆ สำหรับใครที่กำลังตัดสินใจว่าจะดูดีหรือไม่นั้น คือเรายอมรับเลยว่าหนังเรื่องนี้มันดีทุกๆอย่างเลย ไม่ว่าจะเป็นฉาก โลเคชั่น งานภาพ เนื้อเรื่อง ทุกอย่างคือดีงามเข้ากันได้หมดเลย  แต่มีอยู่อย่างหนึ่งนะที่เรารู้สึก นั่นก็คือ เหมือนมันจบไปแบบง่ายๆเลย อย่างในตอนฉากท้ายของการตามหาแม่ของเอโนล่านั้น น่าจะให้เธอได้แสดงทักษะการสืบสวนมากกว่านี้อีกสักหน่อย เพราะเหมือนที่เธอทำมาตลอดทั้งเรื่องนั้นสูญเปล่าไปเลย เพราะแม่กลับมาพบเธอเองซะอย่างนั้น แต่รวมๆแล้วหนังเรื่องนี้ดีนะ สนุกเลยแหละ! ตัวอย่าง หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนัง Netflix เรื่องอื่นๆ เช่น รีวิวหนัง Sierra Burgess is a Loser (เซียร์รา เบอร์เจสส์ แกล้งป๊อปไว้หารัก) ได้อีกที่ filmograd.net ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก Ufabet369

รีวิว Time to Hunt (ถึงเวลาล่า) หนังแนวอาชญากรรมฟอร์มโรงภาพยนตร์จากเกาหลี

เรียกได้ว่าเดี๋ยวนี้เกาหลีสามารถทำหนังแนวอื่นๆออกมาได้อย่างดีเลยทีเดียว ซึ่งในหนังที่เราจะพาทุกคนไปดูกันวันนี้ จริงๆแล้วมันเป็นหนังฟอร์มที่ต้องการนำเสนอในโรงภาพยนตร์เท่านั้น แต่เนื่องจากติดสถานการณ์โควิด-19 จึงทำให้ต้องเปลี่ยนแผนมาลงใน Netflix แทน และในวันนี้เราจะพาทุกคนมารับชม รีวิว Time to Hunt (ถึงเวลาล่า) ไปกับหนังเกาหลีแนวอาชญากรรมกันเลยดีกว่า ชื่อเรื่อง : “Time to Hunt” (ถึงเวลาล่า) แนว : อาชญากรรม นักแสดง : Lee Je-hoon, Ahn Jae-hong, Choi Woo-shik, Park Jung-min บทภาพยนตร์ : Yoon Sung-hyun ผู้กำกับ : Yoon Sung-hyun ค่าย : Netflix วันฉาย : 23 เมษายน 2020 เวลา : 2 ชั่วโมง 14 นาที IMDb : 6.2 เรื่องย่อ เรื่องราวของประเทศเกาหลีที่เรียกได้ว่าเข้าสู่ยุคมืด เศรษฐกิจตกต่ำจนถึงขีดสุด เงินวอนที่เป็นหน่วยเงินของประเทศเกาหลีกลับไม่มีค่าอีกต่อไป บรรดาบ้านเมืองที่เคยมีสีสันก็กลับเป็นสลัมดีๆนั่นเอง นั่นทำให้ “จุนซอก” (รับบทโดย Lee Je-hoon) ที่เพิ่งถูกปล่อยตัวออกมาจากเรือนจำ เขาเล็งเห็นถึงหนทางที่จะทำให้ชีวิตของเขาดีขึ้นได้ โดยการออกไปจากเมืองที่เขาอยู่นี้  แต่ประเด็นหลักๆเลยคือเขาไม่มีเงิน เขาจึงไปชวน “จางโฮ” (รับบทโดย Ahn Jae-hong), “กีฮุน” (รับบทโดย Choi Woo-shik) และ “ซังซู” (รับบทโดย Choi Woo-shik) บรรดาเพื่อนสนิทของเขาไปทำการปล้นบ่อนการพนัน เพื่อหวังจะเงินที่ปล้นมานั้นไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เกาะทางตอนใต้ของประเทศไต้หวัน แต่เรื่องราวมันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เพราะมันมีคนที่หวังจะเอาชีวิตของพวกเขาทั้ง 4 คนอยู่ ซึ่งพวกเขาจะสามารถหนีตายได้หรือไม่ ต้องไปรับชมกันเลย รีวิว Time to Hunt (ถึงเวลาล่า) หลายๆคนคงจะคุ้นหน้าคุ้นตาตัวนักแสดงอย่าง “Choi Woo-shik” เป็นอย่างดี ในหนังเกาหลีเรื่อง “Parasite” ที่เป็นลูกชายคนโตของครอบครัวคนจนที่เป็นตัวเอกของเรื่องนั่นเอง และในวันนี้เขากลับมาอีกครั้งในหนังเรื่องนี้ ที่ต้องบอกเลยว่าหนังเรื่องนี้คุณภาพระดับ HDR ที่ไม่ได้ไก่กาอาราเล่เลยนะ อีกทั้งหนังยังมีฉากแอคชั่นไล่ฆ่า ยิงกันถล่มทลายทั้งเรื่อง แล้วตัวหนังเองยังมีการสอดแทรกเรื่องราวของมิตรภาพระหว่างเพื่อนเอาไว้อย่างชัดเจนมากเลยทีเดียว ถึงแม้มันจะมีช่วงยืดเยื้อไปบ้างนิดหน่อย แต่มันก็ไม่ได้เยอะมากจนทำให้น่าเบื่อเลย แต่เราว่ามันเสียแค่อย่างเดียวนั่นก็คือ ในส่วนของเนื้อเรื่องมีการตัดตัวละครบางตัวออกไป แบบไม่ได้กล่าวถึงอีกเลย มันทำให้เราสงสัยกันว่า มันเกิดอะไรขึ้นกับตัวละครตัวนั้นกันแน่ แต่รวมๆ ถ้าดูฉากแอคชั่นมันส์ ดูแบบไม่ได้ติดใจกับเนื้อเรื่องอะไรมากนัก หนังเรื่องนี้ก็ถือว่าทำได้ดีพอสมควรเลย ตัวอย่าง หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนัง Netflix เรื่องอื่นๆ เช่น รีวิว Pandora หนังแนวภัยพิบัติคุณภาพดีที่ควรค่าแก่การเสียเวลาดูเป็นอย่างมาก ได้อีกที่ filmograd.net ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก Ufa369

รีวิว Pandora หนังแนวภัยพิบัติคุณภาพดีที่ควรค่าแก่การเสียเวลาดูเป็นอย่างมาก

จะว่าไปวงการหนังหรือซี่รี่ย์สัญชาติเกาหลีไม่ได้มีดีแค่หนังซอมบี้หรือซีรี่ย์รักโรแมนติกเท่านั้นหรอกนะ เพราะวันนี้เราไปค้นพบหนังเกาหลีดีๆเรื่องหนึ่งใน Netflix มา ซึ่งมันจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับภัยพิบัติที่เกิดขึ้น เอาเป็นว่าเราไม่รอช้า ไปรับชม รีวิว Pandora กันเลยดีกว่า ชื่อเรื่อง : “Pandora” แนว : ภัยพิบัติ นักแสดง : Kim Nam-gil, Kim Ju-hyeon, Kim Myung-min, Lee Geung-young, Kim Dae-myung, Jung Jin-young บทภาพยนตร์ : Park Jung-woo ผู้กำกับ : Park Jung-woo ค่าย : Next Entertainment World วันฉาย : 07 ธันวาคม 2016 เวลา : 2 ชั่วโมง 16 นาที IMDb : 6.7 เรื่องย่อ เรื่องราวของ “แจฮยอก” (รับบทโดย Kim Nam-gil) ชายหนุ่มผู้ขี้ขลาดของครอบครัว เขาได้ทำงานเป็นวิศวกรซ่อมบำรุงที่โรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งหนึ่งในเกาหลีที่ถูกสร้างขึ้นมาแล้วกว่า 40 ปีแล้ว ถึงแม้แจฮยอกจะเติบโตและทำงานให้กับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งนี้ที่เป็นสาเหตุให้พ่อและพี่ชายของเขาต้องเสียชีวิตจากการที่รังสีรั่วไหล เขาเองก็ยังมีท่าทีต่อต้านโรงงานไฟฟ้าแห่งนี้ไปในตัว จนในวันหนึ่งได้เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 6.1 ริกเตอร์ขึ้นที่เมืองที่พวกเขาอาศัยอยู่ นั่นทำให้โรงงานไฟฟ้าแห่งนี้ที่ถูกออกแบบมาเพื่อรับมือกับภัยพิบัติเกิดรอยรั่วรอยแตกขึ้น เพราะมันผ่านการทำงานมากว่า 40 ปีแล้ว จนในที่สุดเตาปฎิกรณ์ของโรงงานแห่งนี้ก็เริ่มระเบิดขึ้นมา ส่งผลให้เกิดการกระจายของรังสีโดยรอบกว่า 20 กิโลเมตรและยังมีแนวโน้มว่าจะกระจายออกไปเรื่อยๆอีกด้วย นั่นทำให้แจฮยอกและเพื่อนๆในทีมของเขาอาสาสมัครเป็นหน่วยกล้าตายเข้าไปยังโรงงานแห่งนี้เพื่อควบคุมสถานการณ์ดังกล่าวให้ได้ รีวิว Pandora หนังเรื่องนี้เราเห็นมันขึ้นให้ดูใน Netflix มานานมากแล้วล่ะ แต่ไม่เคยคิดจะเข้าไปดูเลยสักครั้ง ทุกวันนี้ยังคิดอยู่เลยว่าทำไมถึงไม่เข้าไปดูสักที เพราะหนังเรื่องนี้มันคือดีงามมากๆอ่ะ โดยตัวหนังจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับภัยพิบัติจากโรงงานนิวเคลียร์ในเกาหลีที่เกิดอาการผุพังไปตามกาลเวลา เรียกได้ว่าหนังเรื่องนี้เป็น 2 ชั่วโมงกว่าที่คุ้มค่ามากๆ เพราะมันมีการเดินเรื่องได้อย่างรวดเร็ว กระชับ ไม่มีช่วงไหนของเรื่องเลยที่ทำให้เรารู้สึกง่วง อยากจะหลับ มันจะมีแต่ช่วงที่พาให้เราดราม่าและกดดันได้ตลอดทั้งเรื่องเลยทีเดียว ในช่วงแรกๆของหนังเรื่องนี้จะมีการเน้นไปที่เรื่องราวของความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ซะเป็นส่วนใหญ่เลย ไม่เว้นแม้กระทั่งผู้นำของประเทศเองที่กลัวแต่เรื่องผลกระทบที่อาจจะตามมาหากข่าวนี้หลุดออกไป นั่นทำให้เรื่องราวมันยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ เราต้องบอกก่อนเลยว่า เราไม่ได้ร้องไห้กับหนังมานานมากแล้ว แต่หนังเรื่องนี้มันทำเอาเราอินจนร้องไห้หมดไปเป็นปี๊ปเลย เอาเป็นว่าสำหรับใครที่ยังไม่เคยดูหนังเรื่องนี้ เราแนะนำว่าคุณควรไปหามาดูเป็นอย่างมาก คือตัวหนังเรื่องนี้มันอาจจะไม่ได้ให้อารมณ์ฟีลกู๊ดอะไรกับคุณหรอกนะ แต่ต้องยอมรับเลยว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังน้ำดี มีคุณภาพเรื่องหนึ่งเลย ตัวอย่าง หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนังต่างประเทศเรื่องอื่นๆ เช่น ชาร์ลี แชปลิน คนที่สองในโลกที่ตัวจริงยังต้องยอมรับในฝีมือของเขาเลยทีเดียว ได้อีกที่ filmograd.net ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก Ufabet72