เหตุผลที่ควรดู Low Season สุขสันต์วันโสด 1

“มาริโอ้ เมาเร่อ” นักแสดงหนุ่มผู้ที่แจ้งเกิดมาจากหนังรักใสๆ แต่เขาก็โชว์ศักยภาพว่าสามารถแสดงได้ทุกบทบาทและทุกแนว แต่ล่าสุดเขาก็ได้กลับมาเล่นหนังแนวถนัดของอีกครั้ง และผลลัพธ์ที่ออกมานั้น กลายเป็นว่า “เหนือความคาดหมาย” แบบไม่ทันตั้งตัว หรือพูดง่ายๆ ก็คือ…เป็นหนังไทยที่ดูดีกว่าที่คิดในรอบหลายปีเลยทีเดียว “Low Season สุขสันต์วันโสด” หนังโรแมนติกคอมมาดี จากทีมผู้สร้างหนังตระกูล “สาระแน” ฝีมือของผู้กำกับ “นฤบดี เวชกรรม” จาก แคท อ่ะ แว้บ แบบว่ารักอ่ะ และ สาระแนเห็นผี หลังจากที่ร้างมือจากหนังไทยไปสักพัก กลับมาด้วยหนังรักในครั้งนี้ถือว่าเป็นการคืนฟอร์มให้กับตัวเขา และค่ายสหมงคลฟิล์มฯ ด้วย เรื่องราวของ หลิน ที่บุกเดี่ยวขึ้นดอยไปเยียวยาแผลใจ ด้วยเหตุผลที่ว่า “เริ่มที่ไหนจบที่นั่น” ทำให้เธอมาพบกับ พุธ นักเขียนบทหนุ่มที่ไอเดียกำลังตัน ซ้ำยังพกอาการรักคุดติดตัวมาด้วย เขามาหาแรงบันดาลใจในการเขียนบทหนังผี แต่เมื่อได้มาเจอกับสาวจากกรุงเทพฯ เคมีแปลกก็เริ่มก่อตัว บังเอิญกลายเป็นโร้ดทริปเฉพาะกิจของเขาและเธอ ท่ามกลางป่าเขาในฤดูฝนที่เรียกกันว่า…โลว์ซีซั่น วิจารณ์ Low Season สุขสันต์วันโสด สารภาพว่า…ก่อนเดินเข้าโรงหนังก็ได้ทำใจเอาไว้ระดับหนึ่ง เพื่อตั้งรับว่าจะเข้าไปเจอสิ่งที่คิดเอาไว้บนจอ แต่ปรากฏว่าทุกอย่างที่คาดคิดเอาไว้มลายสูญไปทั้งหมด กลายเป็นว่าหนังมอบความเซอร์ไพรส์ให้กับคนดูแบบไม่ทั้งตั้งตัว มาพร้อมกับบรรยากาศป่าฝนงามๆ วิวทิวทัศน์ที่ชวนเพลิน งานถ่ายภาพของหนังเรื่องนี้น่ายกย่องเลยทีเดียว แม้ยังมีจุดขัดหูขัดตาอยู่บ้างก็ตาม     รีวิว Low Season สุขสันต์วันโสด มาริโอ้ เมาเร่อ ยังคงท็อปฟอร์มในโทนหนังรักอยู่เสมอ แต่ในขณะนี้น้องใหม่อย่าง “พลอย-พลอยไพลิน ตั้งประภาพร” นักแสดงและบล็อกเกอร์ไอดอลสาว ที่แม้จะมีชั่วโมงบินทางการแสดงยังไม่มาก แต่ปรากฏว่าเธอเปล่งประกายและฉายเสน่ห์ออกมาได้ตลอดทั้งเรื่อง เมื่อคู่พระนางมาอยู่บนจอเดียวกัน กลายเป็นเคมีคู่หลักที่ลงตัวอย่างไม่น่าเชื่อ เคมีนี้เองที่ช่วยพยุงหนังเรื่องนี้ไปได้ทั้งเรื่องเลย   แน่นอนว่าหนังยังคงมี “บท” เป็นจุดอ่อนเหมือนกับหนังไทยเรื่องอื่นๆ เพราะโครงเรื่องของหนังมีเพียงหยิบมือ แต่นำมาขยายความที่ยาวเกินไป ทำให้สามารถมองเห็นช่องโหว่ของบท ทั้งความไม่สมเหตุสมผล และความไร้มิติของบางตัวละคร แต่กลายเป็นว่าจุดอ่อนด้อยทั้งหมดได้ถูกชะล้างไปเพราะฝีมือและเคมีของนักแสดงนำทั้ง 2 คนของหนังเรื่องนี้

Low Season สุขสันต์วันโสด 2

ว่ากันตามตรงเลยคือคาแรกเตอร์นำของหนังอย่าง หลิน และ พุทธ นี่ก็คือสต็อกคาแรกเตอร์ (ลักษณะตัวละครที่เราคุ้นเคย เห็นซ้ำ ๆ​) ที่หนังพยายามเติมความประหลาดเข้าไปทีละเล็ก ทีละน้อย เริ่มจาก หลิน หญิงสาวใจพัง อกหัก อันนี้ไม่บอกก็รู้เลยว่าเป็นการดึงคาแรกเตอร์ส่วนหนึ่งมาจาก พลอยไพลิน เจ้าของเพจ พลอยเรียนจบแล้วทำอะไรต่อ? ที่เน้นคาแรกเตอร์สาวลุยแต่กำลังค้นหาตัวตนมาผสานกับความสามารถเห็นผี ที่ถือเป็นมุกเด็ดของเรื่อง ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าเสน่ห์สไตล์สาวแว่นของเธอช่วยกลบแอ็กติงที่ดูใหญ่โตและไม่ค่อยเข้าพวกได้แนบเนียนอยู่เหมือนกัน ส่วนบท พุทธ ของ มาริโอ้ เมาเร่อ ก็ถือเป็นการทดสอบคาแรกเตอร์ที่เป็น เดอะแบก ของหนังอย่างแท้จริง เพราะทุกฉากที่โอ้ปรากฎตัวคือหนังจะไม่มีจังหวะที่เอื่อยเฉื่อยแต่อย่างใดและยังพอจะเจือความโรแมนติกให้สาว ๆ ได้ฟินอยู่บ้าง ตรงข้ามกับฉากอกหักของหลินที่พลอยไพลินยังแสดงแบบไม่มีอินเนอร์อะไรนักเน้นร้องไห้เป็นหลักอย่างเดียว แต่ก็แอบเสียดายว่าหนังเองก็ยังใช้ความสามารถของนักแสดงคุณภาพอย่าง มาริโอ้ เมาเร่อ ได้ไม่คุ้มค่าเท่าใดนักเพราะหนังต้องไปให้เวลากับบรรดาตัวละครสมทบ อีกทั้งพาร์ตโรแมนติกของทั้งคู่ยังเริ่มง่ายจบง่ายแค่คนอกหักมาสปาร์คกันเฉย ๆ เราเลยไม่รู้สึกนำพาหรือลุ้นอยากให้ทั้งคู่รักกันเหมือนหนังรักเรื่องอื่น ๆ แน่นอนว่าจุดแข็งของหนังอาจไม่ใช่บทที่เขียนมาอย่างดี หรือ อารมณ์โรแมนติกปน ๆ สยองขวัญเหมือนที่ตัวอย่างหนังพยายามบิลต์เรานัก แต่เป็นในส่วนของตัวละครสมทบที่ เป้ นฤบดี พยายามประเคนฉากฮา ๆ ให้ต่างหาก สำหรับ พี่เปิ้ล นาคร นี่ไม่ต้องพูดเยอะ เพราะนี่แหละ MVP ของหนังเลย บทพี่จเรที่เหมือนถอดมาจากหนัง สาระแนเห็นผี สามารถทำคนดูกรามค้างได้ตลอดแถมยังขำแทบเสียสติทุกฉากที่ปรากฎตัว ส่วน อ้น ศรีพรรณ กับ โจ๊ก อัครินทร์ ก็ถือเป็นมืออาชีพทางการแสดงอยู่แล้ว แม้หนังให้เวลาทั้งคู่ไม่เยอะก็ยังอุตส่าห์มีซีนกับเขาโดดเด่นอยู่เหมือนกัน แต่ที่ต้องถือเป็นเซอร์ไพรส์ของหนังมากคือการมีอยู่ของ โฟร์ ศกลรัตน์ ที่แม้คาแรกเตอร์ของเธอจะเสี่ยงกับการสร้างความน่ารำคาญแค่ไหน แต่ให้ตายเถอะ เราเชื่อเลยว่าหนุ่ม ๆ คงไม่อาจละสายตาเธอได้จริง ๆ ยิ่งฉากกินเหล้าเมามายแล้วพูดคำหยาบนะยิ่งทำให้เธอดูฮอตจนในใจแอบร้องเพลง โรคหัวใจกำเริบ เลิฟฟฟฟฟ เลยทีเดียวแหละ 5555. ส่วน นิกกี้ ณฉัตร ก็ถือเป็นความฉลาดของผู้กำกับที่เน้นให้เขาทำอะไรแป๊ก ๆ แล้วก็ได้ทำคนดูฮาทุกทีจริง ๆ โดยภาพรวมแล้ว Low Season สุขสันต์วันโสด ก็ถือเป็นงานเบาสมองดูสบายที่เราต้องไม่ไปจ้องจับผิดกับตรรกะหนังใด ๆ เลยถึงจะดูได้สนุก แม้หนัง 2 ชั่วโมงเรื่องนี้อาจจะยังมีพลอตไม่แข็งแรง แต่ด้วยเสน่ห์ของนักแสดงก็พอทำให้เราพร้อมเดินทางขึ้นดอยไปเจอผีกับพวกเขา จนบางทีดูหนังจบหลายคนอาจวางแผนเที่ยวเหนือสัมผัสความงามยามไร้ผู้คนพุกพล่านกันหลังออกจากโรงเลยทีเดียว  

Low Season สุขสันต์วันโสด 1

หลังเห็นผีจนได้เรื่องแถมโดนหักอกจากซุปตาร์คนดัง หลิน (พลอยไพลิน ตั้งประภาพร)   เลยหอบใจพัง ๆ เดินทางขึ้นเหนือสู่ดอยกิ่วแม่ปานจุดเริ่มต้นสัมพันธ์รักที่เพิ่งจบลงไป และในระหว่างทางเธอก็ได้พบกับ พุทธ (มาริโอ้ เมาเร่อ) หนุ่มนักเขียนบทสุดกวนที่มาหาแรงบันดาลใจในการเขียนบทหนังผี โดยปลายทางของพุทธคือการไปหาพี่จเร (นาคร ศิลาชัย) ชายเห็นผีที่หลินสัมผัสได้ถึงความสยองลึก ๆ แถมพ่วงด้วยแก๊งใจพังแห่งโฮมสเตย์บนดอยทั้ง พี่โอม (โจ๊ก-อัครินทร์ อัครนิธิเมธรัฐ) เจ้าของโฮมสเตย์โคตรติสท์ พี่อ้อม (อ้น-ศรีพรรณ ชื่นชมบูรณ์) ผู้ช่วยดูแลพี่โอมที่หวังจะไม่โสดเพราะเธอมีใจให้เขา วิทยา (นิกกี้-ณฉัตร จันทพันธ์) หนุ่มปากมากที่หลงรัก นุ่น (โฟร์-ศกลรัตน์ วรอุไร) สาวรุ่นพี่ขี้เมา เมื่อคนใจพังมารวมกันในช่วงหน้าโลว์ซีซัน ความฮาแบบพัง ๆ จึงบังเกิด หลังทิ้งห่างผลงานในนามสาระแนทั้งหลาย เป้-นฤบดี เวชกรรม ก็กลับมาอีกครั้งกับ Low Season หนังรักตลกมีผีที่แอบมีแผนส่งเสริมการท่องเที่ยวในช่วงหน้าโลว์ซีซันที่บรรยากาศไม่ได้ด้อยไปกว่าหน้าไฮแต่อย่างใด ซึ่งจุดที่ดึงผมสนใจที่สุดคงหนีไม่พ้นการนำพี่เปิ้ล นาคร กลับมาเจอกับ มาริโอ้ อีกครั้งนี่แหละ เพราะเคมีประหลาด ๆ ของทั้งคู่ใน สาระแนเห็นผี เคยทำให้คนดูหัวเราะกรามค้างมาแล้ว แต่กระนั้นในภาพรวมของ Low Season ก็ไม่ได้ไปทาง สาระแนเห็นผี เสียทีเดียวแม้จะมีองค์ประกอบคล้าย ๆ กัน แต่หนังก็เลือกจะไปในทางโรแมนติก และ เรื่องราวที่มีจุดศูนย์กลางที่การรวมตัวคนอกหัก คนพัง ๆ ซึ่งจุดเด่นที่สุดของบทหนังก็อยู่ที่การสร้างคาแรกเตอร์ที่น่าสนใจมากกว่าเรื่องราวที่เดินไปอย่างมีทิศทางเพราะขณะที่การเล่าเรื่องของมันไม่อาจทำให้คนดูเอาใจช่วยหรือหาเหตุผลให้รักตัวละครนำทั้งสองได้แล้ว การใส่ซีนเห็นผียังดูไม่เข้าพวกและเพิ่มความน่ารำคาญให้หนังเสียเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นหากใครคาดหวังจะได้ดูหนังรักจี๊ด ๆ ก็ยังคงไม่ตอบสนองนักและพาร์ตโรแมนติกของหนังก็ไม่ทำงานอย่างที่คาดหวังเท่าไหร่ ความโรแมนติกในมุมที่ประหลาดปนน่ารักนั้นจะทำให้คุณตกหลุมรักผ่านการถ่ายทอดของหลินและพุทธชนิดที่ว่ากลับมาแล้วอยากกลับไปดูซ้ำอีกแน่นอน  หากหวังความฮาจากคาแรกเตอร์ประหลาด ๆ อันนี้ที่ตลกไม่ฝืด ตลกดูมีคลาสไม่ด่าสาดเสเทีเสียขอให้เชื่อมือเป้ นฤบดี ได้เลย

Parasite Review 7

ความฝันของคีวู Ki-woo ตอบโต้ด้วยความเศร้าโศกปากกาจดหมายของเขาเองที่ส่งไปยัง Ki-taek ให้สัญญากับพ่อว่าเขาจะทำงานหนักและมีเงินมากพอที่จะซื้อบ้านหลังนั้นเพื่อปลดปล่อยพ่อของเขาว่าตอนนี้เขามีแผนพื้นฐานที่น่าสงสัย มหาวิทยาลัยและงานนั้นจะมีวิธีการทำเงินแบบธรรมดาสำหรับประชาชนประมาณ 90% ที่จะมาในภายหลัง เขาสามารถหันไปอีกด้านหนึ่งได้หรือไม่โดยตระหนักว่ามันเป็นเพียงความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจที่สำคัญ จุนโฮออกไปในอากาศเพื่อให้คุณพิจารณา นอกจากนี้ยังเป็นไปได้อย่างสมบูรณ์แบบเนื่องจากความรุนแรงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขาจินตนาการถึงการรวมตัวของพวกเขาเช่นกันย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านพร้อมกับแม่ของเขาและพบกับพ่อของเขาหลังจากเวลานี้จบจดหมายของเขา (และภาพยนตร์) ในบันทึกย่อหวานอมขมกลืนนั่งอยู่ในบ้านชั้นใต้ดินกึ่งทรุดโทรม ทั้งหมดหายไปในขณะที่ความหวังไม่ใช่ มันเกือบจะเหมือนกับว่าบงจุนโฮแสดงให้เห็นว่าสิ่งนี้ควรเกิดขึ้นตั้งแต่แรกนั่นอาจเป็นเพราะแรงบันดาลใจของครอบครัวถูกเข้าใจผิดในการหวนกลับและความเป็นไปได้ที่ว่าชะตากรรมที่โชคร้ายของครอบครัวจะสามารถหลีกเลี่ยงได้ ครอบครัวสองครอบครัวนั้นหากว่าคิมไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการสร้างโชคลาภและขับไล่ตนเองให้พ้นจากความยากจนนอกอุทยาน ความโลภเป็นสิ่งที่ดี? บางทีในกรณีนี้อาจจะไม่มากนักและภาพยนตร์เรื่องนี้จะพาคุณเดินทางไปเพื่อดูว่าทำไม ไม่มีคนร้ายอยู่ที่นี่แค่ตกเป็นเหยื่อ ความไม่เท่าเทียมกันทางสังคมและความโลภของทุนนิยมเป็นสิ่งที่ฉันได้พบไม่ว่าจะเป็นกระแสต่ำหรือกระดูกสันหลังของภาพยนตร์ Joon Ho ทุกเรื่อง บางที ‘ปรสิต’ เป็นเพียงงานที่สำเร็จมากที่สุดของเขาในทรงกลมนี้ มันไม่ได้ถูกกล่าวถึงอย่างแปลกประหลาดและภายนอกว่า ‘Okja’ คือด้วย “คนร้าย” และ “วีรบุรุษ” ที่สร้างไว้อย่างชัดเจน แต่ด้วยการสำรวจหลายประเภทผ่านเส้นทางของมัน ‘Parasite’ จะสามารถลดบรรทัดนั้นได้อย่างสมบูรณ์ ดังที่ฉันได้กล่าวไว้ในส่วนสุดท้ายครอบครัวทั้งสามคนเป็นเพียงเหยื่อในที่สุดการกระทำหรือสถานการณ์ของพวกเขาเอง แต่ท้ายที่สุดมันไม่สำคัญ กระนั้นก็สามารถมีประเด็นสำหรับความทุกข์ที่ปราศจากความผิดที่เกิดขึ้นกับครอบครัวพาร์ค เห็นด้วยว่ามีสัญญาณว่าจริง ๆ แล้วมันอาจจะเป็นความสัมพันธ์ทางชีวภาพมากกว่ากาฝากคนอย่างไรทั้งสองฝ่ายของคนต่อสู้กันและในภาพยนตร์เรื่องนี้เก่งอีกครั้งในการให้คำตอบที่ชัดเจนและไม่เปิดเผยใน การแยกส่วนของการแบ่งทางเศรษฐกิจและสังคมที่ควบคุมการทำงานของมัน การโต้เถียงกันว่าภาพยนตร์เรื่องนี้มีมาตั้งแต่เริ่มต้นเกี่ยวกับความโลภของวัตถุและความปรารถนาที่จะลุกขึ้นอย่างรวดเร็วในโลกที่อาจต้องใช้เวลามากเกินไปสำหรับความดีของตัวเองมาถูกยกเลิกในบิตสุดท้ายของภาพยนตร์ ฉันยอมรับว่าแม้ว่าฉันจะไม่ได้หวัง แต่มันก็มีผลกระทบมากกว่าภาพยนตร์ที่จะเข้าข้างด้วยการประกาศสิทธิและความผิดของเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายและผู้กระทำผิดอย่างชัดเจน  

Parasite Review 6

ในขณะที่มิสเตอร์พาร์คพยายามที่จะดึงกุญแจออกมาจากใต้ศพของเขาในช่วงเวลาเร่งด่วนเช่นกันเขาก็รู้สึกรังเกียจด้วย“ กลิ่นของคนจน” ที่มาจาก Geun-sae สิ่งนี้นำไปสู่ ​​Ki-taek snapping และสังหาร Mr. Park อย่างไม่ทันฉุดคิดถึงสิ่งที่จะตามมานั้นว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีก ในขณะที่ Mrs. Park ถล่มด้วยความตกใจ Ki-taek ถูกรบกวนอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเขาได้ยินการเปิดเผยที่ซ่อนอยู่ในบ้านของ Parks กำลังรอโอกาสที่จะหลบหนีรวมถึงกรณีอื่น ๆ อย่างไรก็ตามเมื่อเห็นลูก ๆ ของเขาเกือบถูกฆ่าตายด้วยน้ำมือของกึนซาสถานการณ์พูดทางเทคนิคเกี่ยวกับการสร้างของครอบครัวส่งเขาข้ามขอบ ต่อไปสู่การเล่าเรื่องสุดท้ายเผยให้เห็นชะตากรรมของตัวละครหลังจากวันที่โชคชะตานี้ เกิดอะไรขึ้นกับคุณพ่อ (Ki-taek)? ความคลั่งไคล้ในวันนั้นจบลงด้วยการทำลายสามครอบครัวด้วยความทะเยอทะยานสิ่งที่โชคร้ายอย่างแท้จริง แต่ถึงกระนั้นจุนโฮก็ปล่อยให้คุณยึดมั่นในความหวังในภาพยนตร์เรื่องสุดท้าย ตอนนี้ฟื้นตัวจากอาการโคม่านานสัปดาห์หลังจากการผ่าตัดสมองสภาพของเขาทำให้เขามีแนวโน้มที่จะอุบาทว์ของการหัวเราะไม่ จำกัด Ki-Jung ถูกเปิดเผยว่าได้รับบาดเจ็บจากการบาดเจ็บของเธอและในขณะที่ Chung-sook และ Ki-woo ไว้ทุกข์ให้เธอถูกทดลองในข้อหาละเมิดและหลอกลวง Ki-taek จะหายตัวไปและน่าจะเป็นไปได้ หลังจากฆ่า Mr. Park ด้วยเลือดเย็น   ทั้ง Moon-gwang และ Geun-sae ตายแล้วและครอบครัว Park ที่รอดชีวิตชะตากรรมของพวกเขาที่ไม่เปิดเผยบนหน้าจอได้ย้ายไปที่อื่นแล้ว เขาเฝ้าดูที่ครอบครัวใหม่ที่อาศัยอยู่ที่นั่นในความทรงจำและเฝ้าดูแสงสว่างไปที่ห้องใต้ดินที่กะพริบสะบัดสิ่งที่เขาตีความว่าเป็นข้อความในรหัสมอร์ส เกิดอะไรขึ้นกับคุณพ่อ (Ki-taek)? ความคลั่งไคล้ในวันนั้นจบลงด้วยการทำลายสามครอบครัวด้วยความทะเยอทะยานสิ่งที่โชคร้ายอย่างแท้จริง แต่ถึงกระนั้นจุนโฮก็ปล่อยให้คุณยึดมั่นในความหวังในภาพยนตร์เรื่องสุดท้าย ตอนนี้ฟื้นตัวจากอาการโคม่านานสัปดาห์หลังจากการผ่าตัดสมองสภาพของเขาทำให้เขามีแนวโน้มที่จะอุบาทว์ของการหัวเราะไม่ จำกัด Ki-Jung ถูกเปิดเผยว่าได้รับบาดเจ็บจากการบาดเจ็บของเธอและในขณะที่ Chung-sook และ Ki-woo ไว้ทุกข์ให้เธอถูกทดลองในข้อหาละเมิดและหลอกลวง Ki-taek จะหายตัวไปและน่าจะเป็นไปได้ หลังจากฆ่า Mr. Park ด้วยเลือดเย็น   ทั้ง Moon-gwang และ Geun-sae ตายแล้วและครอบครัว Park ที่รอดชีวิตชะตากรรมของพวกเขาที่ไม่เปิดเผยบนหน้าจอได้ย้ายไปที่อื่นแล้ว เขาเฝ้าดูที่ครอบครัวใหม่ที่อาศัยอยู่ที่นั่นในความทรงจำและเฝ้าดูแสงสว่างไปที่ห้องใต้ดินที่กะพริบสะบัดสิ่งที่เขาตีความว่าเป็นข้อความในรหัสมอร์ส

Parasite Review 5

จุนโฮแสดงภาพที่แตกต่างอย่างต่อเนื่องที่นี่จากประชาชนทั่วไปที่ทุกข์ทรมานข้ามคืนสูญเสียบ้านและวิถีชีวิตของพวกเขาแม้ในน้ำท่วมที่เกิดและวิธีการในเช้าวันรุ่งขึ้น Yeon-kyo ยังคงอ้างว่าฝนดูเหมือนจะชำระอากาศ สภาพอากาศ แต่ถึงกระนั้นฉันเชื่อว่าชัยชนะของภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่ที่การห้ามไม่ให้คุณเข้าข้างและกำจัดเจ้านายที่ร่ำรวยและไร้มารยาทในฐานะนักสังคมวิทยาที่ไร้ความปราณีและคนทั่วไปที่ทุกข์ทรมานในฐานะเหยื่อล้วนๆ คุณเป็นคนที่เห็นอกเห็นใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้นกับครอบครัวที่ยากจน แต่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายของคนที่ร่ำรวยมากขึ้นในเมือง: การขาดการจัดการทางอารมณ์อย่างสมบูรณ์ แต่อย่างใด เช้าวันรุ่งขึ้นปาร์คตัดสินใจที่จะจัดงานวันเกิดให้กับหนุ่มสาวดาซองและเชิญคิมส์จบการรบเมื่อคืนที่ผ่านมา ในขณะที่ Ki-woo และ Ki-Jung ได้รับเชิญให้เป็นแขกรับเชิญเป็นอาจารย์ทั้ง Ki-taek และ Chung-sook คาดว่าจะทำงานล่วงเวลาในการให้บริการของครอบครัว ในขณะที่งานปาร์ตี้ Ki-woo พยายามที่จะไปที่ชั้นใต้ดินด้วยหินมีบางอย่างในตัวเขาตื่นขึ้นมาอย่างชัดเจนด้วยความตั้งใจที่จะฆ่า Geun-sae อย่าทำผิดพลาดที่นี่เนื่องจาก Ki-woo ไม่ใช่นักฆ่า แต่เขาก็พร้อมที่จะล้มล้างใครก็ตามที่ยืนอยู่ในเส้นทางของการจ้างงานที่ฉ้อฉลในครอบครัวของเขากับสวนสาธารณะซึ่งเป็นสิ่งที่ช่วยให้พวกเขาอัพเกรดชีวิต หนึ่งในหลายกรณีที่ความทะเยอทะยานใช้เวลาเหนือเข็มทิศคุณธรรมของคน เขาไปที่ชั้นใต้ดินเพื่อพบว่า Moon-Gwang เสียชีวิตจากการบาดเจ็บที่เธอไว้บนหัวเมื่อคืนนี้หลังจาก Chung-sook ถูกเตะลงบันได Geun-sae ที่บ้าคลั่งเอาชนะด้วยความโศกเศร้าที่ภรรยาของเขาตายและเลือดไหลบนใบหน้าเนื่องจากกระแทกสวิตช์ไฟที่พยายามส่งเสียงร้องของเขาเพื่อขอความช่วยเหลือในมอร์สซุ่มโจมตีเขาและในขณะที่ทั้งสองเริ่มต่อสู้กัน Geun-sae ทุบหัวของ Ki-woo ด้วยหิน จากนั้นเขาก็ไปที่ลานปาร์ตี้ซึ่งมีมีดทำครัวอยู่ในมือ การทำร้ายร่างกายเป็นคำเล็ก ๆ สำหรับสิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นเมื่อ Geun-sae แทง Ki-Jung ในหัวใจโอกาสครั้งแรกที่เขาได้รับและเห็น Geun-sae ในสถานะนั้นก่อให้เกิดความทรงจำของ Da-song จากวัยเด็กของเขาทำให้เขามีอาการชักและ ยุบ Ki-taek เผชิญกับสถานการณ์ที่นี่เมื่อมิสเตอร์พาร์คกรีดร้องใส่เขาเพื่อขอกุญแจรถเพื่อนำ Da-song ไปที่โรงพยาบาลในขณะที่เขาดูแลลูกสาวที่ตกสู่บาปเปิดเผยกับเธออย่างเปิดเผยเปิดเผยความจริงของพวกเขา เขาขว้างกุญแจในสภาพช็อคและพวกเขาตกอยู่ภายใต้การดิ้นรนของจุง – ซุกและกึนแซะการต่อสู้ของพวกเขาจบลงด้วยอดีตที่ถูกแทงหลังด้วยไม้เสียบ  

Parasite Review 4

Gisaengchung ตามที่ถูกเรียกในภาษาเกาหลีพื้นเมืองหรือ ‘ Parasite ‘ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันทั่วโลกเป็นครั้งแรกและสำคัญที่สุดในละครทางสังคม ถ้อยคำและทุกอย่างที่ตามมาเป็นอนุพันธ์ของมันหรือเกิดจากมันโดยตรง แล้วละครสังคมจะเกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิตที่รู้จักกันเพื่อป้องกันค่าใช้จ่ายของผู้ให้บริการรายอื่นซึ่งส่วนใหญ่ไม่รู้จักกับเจ้าภาพ แน่นอนว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ตอบคำถามตามเวลาที่มีการหมุนเวียน แต่วิธีที่มันใช้ความต้องการของมนุษย์และความไม่เสมอภาคทางสังคมอย่างไม่หยุดยั้งโดยหลักแล้วการทำงานระหว่างการแบ่งระหว่าง haves และ the nots และการพึ่งพาของแต่ละคนในขณะเดียวกัน ความบันเทิงผ่านเป็นสิ่งที่น่ายกย่องโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่จริงแล้วอัจฉริยะของบงจุนโฮทำงานที่นี่ คุณสามารถจัดทำแผนภูมิการเคลื่อนไหวของคุณอย่างมีนัยสำคัญผ่านภาพยนตร์เช่นการเดินทางบนท้องถนนที่ไม่ได้วางแผนมาอย่างสมบูรณ์ คุณอยู่ห่างไกลจากจุดเริ่มต้นของคุณในแง่ของน้ำเสียงในแง่ของตัวละครและแน่นอนในแง่ของการวางแผนมันเกือบจะทำให้คุณสงสัยว่าความสามารถของโรงภาพยนตร์ในการเปลี่ยนความโรแมนติกที่ยอดเยี่ยมคือการเป็นพยานในภาพยนตร์เช่นนี้ ไม่มีความคิดเห็นสองประการเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่การสิ้นสุดของ ‘Parasite’ เป็นสิ่งที่หวานอมขมกลืนและสำหรับการวิเคราะห์ว่าเราจะต้องย้อนเวลานาฬิกาของเราเป็นเมื่อสิ่งต่าง ๆ เริ่มมองดูน่าเกรงขามอย่างสมบูรณ์สำหรับครอบครัวคิม มันเป็นการ์ตูนที่บางส่วนมันเป็นเสียงเศร้าที่ทำให้เกิดฉากสุดท้ายที่โหดร้าย   ในหลายวิธีวิธีที่เกิดขึ้นตอนจบที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นจากที่นี่แม้ว่าเมล็ดจะถูกหว่านก่อนหน้านี้ฉันกำลังพูดถึงช่วงเวลาที่ Kims, Ki-taek, Ki-woo และ Ki-Jung ในที่สุดก็สามารถ เพื่อหลบหนีจากที่อยู่อาศัยของสวนสาธารณะหลังจากมีการโทรศัพท์ติดต่อกันสองสามครั้งท่ามกลางสายน้ำไหลเชี่ยวที่ทำให้เกิดท่อน้ำเสียและท่อระบายน้ำทิ้งใกล้กับที่ที่พวกเขาอาศัยอยู่ มันเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงเมื่อมองดูครอบครัวต่าง ๆ ที่ร้องขอความช่วยเหลือเนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานของเมืองในไตรมาสทำงานทำให้พวกเขาล้มเหลว   คิมก่อนที่จะสายเกินไปตระหนักว่าอพาร์ตเมนต์ชั้นใต้ดินของพวกเขาจะถูกน้ำท่วมและกอบกู้สิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้ก่อนออกเดินทาง Ki-woo ใช้หินเป็นเพื่อนของเขามินให้กับเขานั่นหมายถึงการสร้างแรงบันดาลใจให้โชคดีในครอบครัวและนำความมั่งคั่งมาให้ ทั้งสามใช้เวลาช่วงกลางคืนที่โรงยิมกับผู้อยู่อาศัยที่ถูกขับไล่หลายร้อยคนโดยที่ Ki-woo และ Ki-taek หารือเกี่ยวกับแผนการของพวกเขาในการคลี่คลายสถานการณ์กับ Moon-gwang และสามีของเธอในห้องใต้ดินที่บ้านของสวน

Parasite Review 3

ฮันจินวอนผู้ร่วมเขียนบทภาพยนตร์เรื่อง ‘Parasite’ ใช้เวลานานในการค้นคว้าอย่างหนักเกี่ยวกับการแบ่งแยกชนชั้นที่ผู้คนในชีวิตจริงเผชิญอยู่รอบตัวเขาและวิถีชีวิตของพวกเขา เขาใช้เวลาหลายเดือนในการพบปะพูดคุยกับอาจารย์ผู้สอนคนขับรถและแม่บ้านขณะถ่ายภาพคนชั้นต่ำและย่านคนรวยในกรุงโซล นี่คือเหตุผลสำหรับวิธีการที่เป็นจริง ‘Parasite’ และความสวยงามด้วยวิธีที่มัน portrays Kims และสวนสาธารณะพร้อมกับบ้านและสภาพแวดล้อมของพวกเขา เพื่อให้เกิดความสมจริงที่สุด จึงจำเป็นที่ต้องศึกษาและซึมซับข้อมูลให้รอบด้าน ใกล้กับการเปิดตัวภาพยนตร์ในขณะที่เราได้รับการแนะนำให้รู้จักกับครอบครัวของคิมสมาชิกและที่พักที่เรียบง่ายและขาดแคลนหมายความว่าครอบครัวยังมีชีวิตรอดอยู่ รหัสผ่านทำให้การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตไร้สายฟรีของครอบครัวหยุดลงสิ่งที่พวกเขาทำกันมานานแล้ว Ki-woo ลาดตระเวนมุมบ้านโดยใช้โทรศัพท์ติดกับเพดานเพื่อหวังจะจับสัญญาณได้ตอนนี้ Ki-jung น้องสาวของเขาเข้าร่วมแล้ว สิ่งที่ตลกก็คือพ่อแม่ก็แนะนำให้เด็กคนนี้ได้พบกับผู้คนด้วยในที่สุดพวกเขาก็พบว่ามีสัญญาณ WiFi ครอบคลุมอยู่ในห้องน้ำ มันเป็นข้อความที่ค่อนข้างแปลกที่จะเริ่มหนังเรื่องนี้และโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่จะแนะนำตัวละครเอกของคุณ: มีความทะเยอทะยานที่นี่มีความปรารถนามีความเจริญมีความเฉื่อยและความเฉื่อยชาเกี่ยวกับฉากนี้และสิ่งที่ควร ปกติของมันทั้งหมดที่โดดเด่นอย่างสมบูรณ์ อย่างไรก็ตามมันเป็นสิ่งสำคัญที่แสดงให้เห็นว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะเกี่ยวกับเรื่องใดและให้คุณทราบว่าชื่อเรื่องเกี่ยวข้องกับเนื้อหาของภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างไร ก่อนที่จะรับบทภาพยนตร์ด้วยตัวเองและฉันต้องยอมรับว่าฉันทำอย่างนั้นโดยไม่ลางสังหรณ์ถึงสิ่งที่ต้องทำตามบนส้นเท้าของการชนะอย่างเป็นเอกฉันท์ที่ Cannes ที่บรรจุ Palme D’Or หรือแม้แต่รถเทรลเลอร์ เกี่ยวกับชื่อเรื่องของภาพยนตร์ Gisaengchung ตามที่ถูกเรียกในภาษาเกาหลีพื้นเมืองหรือ ‘ Parasite ‘ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันทั่วโลกเป็นครั้งแรกและสำคัญที่สุดในละครทางสังคม ถ้อยคำและทุกอย่างที่ตามมาเป็นอนุพันธ์ของมันหรือเกิดจากมันโดยตรง แล้วละครสังคมจะเกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิตที่รู้จักกันเพื่อป้องกันค่าใช้จ่ายของผู้ให้บริการรายอื่นซึ่งส่วนใหญ่ไม่รู้จักกับเจ้าภาพ แน่นอนว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ตอบคำถามตามเวลาที่มีการหมุนเวียน แต่วิธีที่มันใช้ความต้องการของมนุษย์และความไม่เสมอภาคทางสังคมอย่างไม่หยุดยั้งโดยหลักแล้วการทำงานระหว่างการแบ่งระหว่าง haves และ the nots และการพึ่งพาของแต่ละคนในขณะเดียวกัน ความบันเทิงผ่านเป็นสิ่งที่น่ายกย่องโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่จริงแล้วอัจฉริยะของบงจุนโฮทำงานที่นี่  

Parasite Review 2

ติวหนังสือในบ้านผู้มั่งคั่ง ในช่วงต้นยุค 20 Bong Joon-ho รับงานเป็นครูสอนพิเศษคณิตศาสตร์สำหรับลูกชายของตระกูลที่ร่ำรวยในโซลเช่นเดียวกับที่คิมส์หนุ่มเริ่มทำงานให้กับสวนสาธารณะ ครอบครัวนี้อาศัยอยู่ในวงล้อมที่พิเศษที่สุดของเมืองในบ้านที่หรูหรา ในทางตรงกันข้ามบงมีการศึกษาน้อย แต่มีการศึกษาทางปัญญา เขาได้รับการแนะนำให้รู้จักกับครอบครัวโดยแฟนสาวของเขาในเวลานั้นซึ่งตอนนี้เป็นภรรยาของเขา เธอสอนเด็กเป็นภาษาอังกฤษอยู่แล้ว แต่พวกเขาต้องการผู้สอนวิชาคณิตศาสตร์คนอื่น ในการให้สัมภาษณ์กับTHR Bong Joon-ho กล่าวว่า“ พวกเขาต้องการครูสอนพิเศษอีกคนหนึ่งสำหรับวิชาคณิตศาสตร์ดังนั้นเธอจึงนำฉันไปข้างหน้าในฐานะเพื่อนที่ไว้ใจได้แม้ว่าฉันจะไม่เก่งคณิตศาสตร์จริง ๆ ก็ตาม” เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องที่น่าสนใจที่จะมองว่าเป็นคู่ขนานกับคิมที่ไม่เคยมีประสบการณ์กับงานที่พวกเขาทำมาก่อน อันที่จริงบงจุนโฮไม่มีประสบการณ์ด้านคณิตศาสตร์เลยเขาเป็นนักสังคมวิทยารายใหญ่ผู้ใฝ่ฝันอยากจะเป็นผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์มาตั้งแต่สมัยมัธยม เขากล่าวเพิ่มเติมว่างานเหล่านี้ทำงานอย่างไร“ ไม่ใช่ว่าพวกเขาวางโฆษณาจำนวนมากที่กำลังมองหาความช่วยเหลือในประเทศ – คุณได้รับการแนะนำ” เราเห็นสิ่งนี้เป็นอย่างดีใน ‘Parasite’ ในขณะที่ Ki-woo แนะนำ Ki-jeong น้องสาวของเขาในฐานะเพื่อนร่วมชั้นของลูกพี่ลูกน้องขณะที่เธอโพสท่าเป็นนักบำบัดโรคศิลปะ แน่นอนว่าคนในครอบครัวที่เหลือตามมาเพียง แต่ต้องแกล้งทำเป็นไม่รู้จักกันเท่านั้น ในตอนแรกบงจุนโฮคิดว่าจะเปลี่ยนเรื่องราวให้กลายเป็นเวที แต่แล้วก็ตระหนักถึงคุณค่าของภาพยนตร์ในการตั้งค่าในความใกล้ชิดที่หายากที่แบ่งปันกันระหว่างคนรวยและคนจนที่แยกจากกัน เขากล่าวว่า“ …เมื่อคุณทำงานเป็นครูสอนพิเศษหรือแม่บ้านคุณอยู่ในพื้นที่ส่วนตัวมากที่สุดและทั้งสองฝ่ายต่างพากันมารวมตัวกันอย่างใกล้ชิด” เมื่อมองย้อนกลับไปที่ประสบการณ์ของตัวเองในฐานะผู้ปกครองเขาเปิดเผยว่าเด็กชายตัวเล็กที่เขาสอนพาเขาไปทุกมุมของบ้านและพูดถึงพ่อแม่ของเขาได้อย่างยาว อาจเป็นเพราะเหตุนี้บงจุนโฮถูกไล่ออกภายในสองเดือน แต่ยอมรับว่า“ ถ้าฉันไม่ถูกไล่ออกฉันอาจจะสามารถค้นพบสิ่งอื่น ๆ เกี่ยวกับครอบครัวนั้นได้ ฉันเป็นนักเรียนวิทยาลัยที่ไร้เดียงสา ฉันไม่ได้มีเจตนาร้าย แต่นั่นเป็นแรงบันดาลใจให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้ ” วิธีการที่สมจริงไปสู่การเลือกปฏิบัติในชั้นเรียนที่เกิดขึ้นจริง บงจุนโฮเปิดเผยว่าเขาได้รับแรงบันดาลใจจากคนมากมายรอบตัวเขาทั้งคนรวยและคนจน“ ฉันได้รับแรงบันดาลใจจากคนที่ฉันเจอเป็นประจำทุกวัน”

Parasite Review 1

แรงบันดาลใจในชีวิตจริงที่อยู่เบื้องหลัง ‘ปรสิต’ ‘ Parasite ‘ ของBong Joon-ho เป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่น่าสนใจที่สุดที่เคยสร้างมาอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนซึ่งเป็นภาพยนตร์ที่ทำให้คุณตกหลุมรักศิลปะการแสดงภาพยนตร์อีกครั้ง และนั่นเป็นการพูดอะไรบางอย่างถ้าคุณพิจารณาผลงานภาพยนตร์ของบงจุนโฮเพียงคนเดียว ผลงานของเขามีตั้งแต่ ‘Memories of Murder’ ถึง ‘Mother’ ซึ่งทั้งหมดเป็นอัญมณีอมตะที่ทำให้ผู้ชมตื่นตาไปกับวัฒนธรรม แต่ด้วย ‘Parasite’ Joon-ho ทำให้มันสูงขึ้นในวิธีที่ยอดเยี่ยมและคาดไม่ถึง ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ‘ Parasite ‘ จะอยู่ในอันดับต้น ๆ ของรายการภาพยนตร์ของคุณในปีนี้และแม้แต่ทศวรรษที่ผ่านมาสำหรับเรื่องนั้น มันเป็นเรื่องแปลกประหลาดที่น่าอัศจรรย์ทั้งเฮฮาและน่ากลัวในวิธีที่หายากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพราะมันให้ความเห็นที่น่ารังเกียจเกี่ยวกับการแบ่งแยกชนชั้นและทุนนิยม มันคือทั้งหมดที่คุณอาจต้องการที่จะเป็น แต่ยังไม่ได้ นี่เป็นเพียงเพราะมันจะดีกว่าจินตนาการที่ดุร้ายที่สุดของคุณในสิ่งที่ภาพยนตร์เรื่องที่สมบูรณ์แบบอาจเป็นเช่นนั้นได้ มันสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการกลายเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของเกาหลีใต้ที่ชนะ Palme d’Or และประสบความสำเร็จในเรื่องนี้ด้วยคะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์ มันเป็นคู่แข่งอันดับต้น ๆ ของรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมปีนี้ ‘Parasite’ ไม่เพียง แต่ท้าทายประเภทมันยังท้าทายความคาดหวังของคุณเพราะมันเปลี่ยนจากละครตลกเป็นละครได้อย่างราบรื่นในที่สุดก็เปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นหนังสยองขวัญที่แท้จริงในเวลาที่มันจบลง ภาพยนตร์เรื่องนี้ติดตามชีวิตของคิมส์ครอบครัวผู้ว่างงานที่ยากจนซึ่งอาศัยอยู่ในห้องใต้ดินที่คับแคบในกรุงโซลเนื่องจากพวกเขาค่อยๆแทรกซึมเข้าไปในชีวิตของสวนสาธารณะที่ร่ำรวยและมีเสน่ห์ผ่านการหลอกลวง แต่เมื่อมันดำเนินไปเรื่อย ๆ ชีวิตของพวกเขาจะยุ่งเหยิงมากขึ้นเรื่อย ๆ ในที่สุดทำให้เราถามว่าใครเป็นปรสิตตัวจริง หากคุณสงสัยว่าอะไรเป็นแรงบันดาลใจให้กับภาพยนตร์ที่แยบยลชิ้นนี้คุณก็มาถูกที่แล้ว นี่คือทุกสิ่งที่เรารู้ ปรสิตอยู่บนพื้นฐานของเรื่องจริงหรือไม่? ใช่ แต่ไม่สมบูรณ์ ‘Parasite’ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเรื่องจริงโดยเฉพาะ แต่ได้รับแรงบันดาลใจจากประสบการณ์ชีวิตจริงของ Bong Hoon-jo แน่นอนตั้งแต่เขาอายุ 20 ปี มันขึ้นอยู่กับการเผชิญหน้าอันใกล้ชิดครั้งแรกของบงกับครอบครัวที่มีฐานะร่ำรวยในขณะที่เขาพยายามทำให้ปลายพบกันเป็นชายหนุ่ม ประสบการณ์นี้ติดอยู่กับเขาตลอดหลายปีที่ผ่านมาทำให้เขาตระหนักถึงสิ่งสำคัญบางอย่างเกี่ยวกับการเลือกปฏิบัติในชั้นเรียนและวิถีชีวิตของคนรวย