ยังคงร้อนแรงแม้เปิดตัวมา 3 สัปดาห์

Shang-Chi: The Legend of The Ten Rings

ถึงแม้ว่าจะอยู่ในช่วงของการแพร่ระบาดของโรคโควิดที่หลาย ๆ อย่างยังไม่กลับมาลงตัวเหมือนเดิมแต่สิ่งที่ยังสร้างความตระการตาให้กับผู้คนทั่วทั้งโลกได้อย่างสม่ำเสมอนั่นก็คือภาพยนตร์ของ Marvel Studio ซึ่งเรื่องที่กำลังฉายอยู่ภายในโรงภาพยนตร์ก็คือ Shang-Chi: The Legend of The Ten Rings ภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องถึงซูเปอร์ฮีโร่ชาวเอเชียพี่กำลังเข้าฉายอยู่ภายในโรงภาพยนตร์ในต่างประเทศตอนนี้ยังคงรั้งอันดับสูงสุดของบล็อกออฟฟิศไว้ได้อย่างต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 3 แล้วโดยกว่ารายได้ไปได้อีก 21 ล้านดอลลาร์สหรัฐและทำให้ภาพยนตร์เรื่อง Shang-Chi: The Legend of The Ten Rings กลายเป็นภาพยนตร์อันดับที่ 2 ที่สามารถทำรายได้ได้ดีในสัปดาห์ที่ 3 ในเดือนกันยายนด้วยรายได้ระดับนี้คาดการณ์ไว้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะทำเงินได้สูงถึง 176.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐเลยทีเดียว และยังเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่มีลุ้นว่าจะทำรายได้เกินกว่า 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงของการแพร่ระบาดของโรคโควิช อย่างไรก็ตามตอนนี้ภาพยนตร์เรื่อง Shang-Chi: The Legend of The Ten Rings ยังไม่มีกำหนดฉายในประเทศจีนรวมถึงในประเทศไทยที่กำลังเผชิญหน้ากับการแพร่ระบาดของโรคโควิดอยู่ทำให้เมื่อมีการเปิดตัวในต่างประเทศก็อาจจะสร้างรายได้สูงขึ้นมากไปกว่าที่ได้รับภายในประเทศอเมริกาอยู่ก็เป็นได้ ซึ่งก็อาจจะทำรายได้สูงเกินกว่า 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐจาก Box Office ทั่วโลกได้เลยทีเดียว จากตัวเลขและรายได้ที่ได้รับจากการเปิดตัวในโรงภาพยนตร์ของประเทศอเมริกาก็แสดงให้เห็นแล้วว่าภาพยนตร์ของ Marvel Studio นั้นก็ยังคงร้อนแรงไม่แพ้กับในช่วง 3 เฟสแรกเลยทีเดียวและด้วยการเริ่มต้นการปูทางไปสู่เฟส 4 และเฟสต่อๆ ไปเรียกได้ว่าเป็นการเปิดตัวที่สวยงามมากเลยทีเดียวสำหรับ Marvel Studio ที่ในตอนนี้เน้นทำทางภาพยนตร์และซีรีส์ให้มีความเชื่อมโยงถึงกัน นอกจากนี้แล้วตอนนี้ทาง Marvel Studio นั้นยังมีภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ที่เตรียมรอฉายในช่วงปลายปีนี้อีก 2 เรื่องได้แก่ Eternals และ Spider-Man:No Way Home ซึ่งภาพยนตร์ที่หลายๆ คนรอคอยกันมากที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้น Spider-Man:No Way Home อย่างแน่นอนเพราะว่าเรื่องราวยังไม่ได้ถูกเปิดเผยมาในตัวอย่างของภาพยนตร์และที่สำคัญตัวอย่างภาพยนตร์ Spider-Man:No Way Home ที่ถูกเปิดตัวมาเมื่อดูจากยอดการรับชมที่ถล่มทลายภายในระยะเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมงก็แสดงให้เห็นแล้วว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะกลายเป็นภาพยนตร์อีกเรื่องนึงที่สามารถทำเงินให้กับทาง Marvel Studio มหาศาลเลยทีเดียว

Annabelle Comes Home แอนนาเบล คัม โฮม

Annabelle Comes Home

Annabelle Comes Home กับอีกหนึ่งเรื่องราวอันแสนสยองขวัญ ในจักรวาลแอนนาเบล เรื่องราวอันลึกลับที่เต็มไปด้วยอำนาจอันดำมืดนัดสิ่งชั่วร้าย ที่ยังคงสถิตอยู่ภายในตุ๊กตา ที่มองดูอาจจะไม่มีอะไร แต่ทว่ามันจะสร้างความพรั่นพรึงไปด้วยสิ่งชั่วร้าย ที่มันควรจะต้องถูกทำลาย แต่มันถูกเก็บรักษาเอาไว้เป็นอย่างดี ซึ่งตัวของมันเองได้แต่รอเวลาที่เหมาะสม ที่จะได้ออกมาแสดงพลังอำนาจที่มีอยู่เพื่อสร้างความหวาดกลัวให้กับผู้คน แอนนาเบล คัม โฮม อีกหนึ่งภาคต่อสยองขวัญ ที่ได้รับความนิยมในจักรวาลแอนนาเบล ซึ่งทุก ๆ ท่านคงรู้จักกันเป็นอย่างดีกับเจ้าตุ๊กตาผีตัวนี้ และการเชื่อมโยง กับเรื่องราวห่วงนักสืบจิตวิญญาณที่มีความสามารถในการรู้ล่วงถึงสัมผัสให้ดวงวิญญาณ และความชั่วร้าย ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในเรื่องนี้มันเป็นเรื่องราวที่ทุก ๆ คนในครอบครัวต่างคาดไม่ถึง เนื้อเรื่องย่อ ครอบครัวนักปราบผี เอ็ด – ลอร์เร้น สามีภรรยาที่มีชื่อเสียงโจษจันได้รับการกล่าวขวัญถึงว่า มีความสามารถในการสื่อกับจิตวิญญาณ ทั้งยังมีพลังมีความสามารถในการปราบสิ่งเร้นลับสิ่งชั่วร้ายทั่วอเมริกา ในครั้งนี้พวกเขาได้มีโอกาสครอบครองตุ๊กตาผีแอนนาเบล ซึ่งพวกเขาทั้งสองตั้งใจจะนำมันมากักขังจัดเก็บเอาไว้ในตู้กระจก ที่มีความสามารถในการตรึงรังของมันแต่เพราะว่าเรื่องราวกับมหาอำนาจพลังที่มีอยู่ในตัวของ Annabelle เล็ดลอดออกมาภายนอกบริเวณ ซึ่งเต็มไปด้วยข้าวของสิ่งชั่วร้ายที่ เอ็ด – ลอร์เร้น ทั้งสองต้องการปราบ และนำมาเก็บรักษาไว้ มันทำให้สิ่งชั่วร้ายต่าง ๆ กลับมามีพลังเพิ่มเติมมากขึ้น และก็ได้เข้ารุมทำร้าย จูดี้ลูกสาวของ เอ็ดกับลอร์เร้น โดยที่พ่อแม่ของเธอไม่อยู่ จึงเป็นความพยายามที่เธอต้องใช้ความสามารถที่มีอยู่ในการปราบสิ่งชั่วร้ายที่เล็ดลอดออกมา และต้องจัดการกับตุ๊กตาแอนนาเบล ให้ได้ก่อนที่เรื่องร้ายจะทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น  คงเป็นที่ถูกอกถูกใจไม่น้อย สำหรับสาวกหนังสยองขวัญ หรือผู้ที่ติดตามมหากาพย์หนังผี Annabelle Comes Home แอนนาเบล คัม โฮม ภาคนี้อาจจะไม่ได้มีเงื่อนงำที่ลึกลับซับซ้อน แต่จะเป็นการแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการเอาตัวรอด และพลังของตู้ดีลูกสาวของเอส และลอเรน ซึ่งจะต้องเปล่าเจ้าวิญญาณชั่วร้ายทั้งหลาย ที่หลุดรอดออกมาภายในบ้านของเธอ เราเชื่อว่าสาวกหนังสยองขวัญ หรือผู้ที่ชื่นชอบมหากาพย์หนังผี Annabelle Comes Home ก็คงจะได้รับความบันเทิงกันไม่มากก็น้อยแต่ภาพรวมของภาพยนตร์เรื่องนี้ อาจจะเป็นเพราะเรื่องราวที่มีการปูพื้นให้ผู้ชมสามารถคาดเดาเหตุการณ์ได้ไม่ยากจึงสามารถคว้าคะแนน imdb ความนิยมได้เพียงแค่ 5.9 แต่ก็ยังต้องยกนิ้วให้กับการจำกัดในฝ่าย Production ที่ยังสามารถสร้างความท่านคือความน่ากลัวในรูปแบบของธีมหนังสยองขวัญให้กับทุก ๆ ฉากที่ที่ทำให้ขนพองสยองเกล้า ไปได้ในตลอดทั้งเรื่อง

The Call Of The Wild หนังสร้างแรงบันดาลใจที่ไม่ควรพลาด

The Call Of The Wild

เชื่อว่าหลายคนอาจจะเคยเห็นตัวอย่างของหนังเรื่องนี้ไปแล้ว กับ The Call Of The Wild ที่ดึงดูดความสนใจของผู้คนด้วยการตัดตอนสั้นๆ ของหมาลากเลื่อนมาให้ดู แต่นี่ไม่ใช่หนังหมาลากเลื่อนทั้งหมด สิ่งที่เราได้เห็นในตัวอย่างเป็นเพียงเสี้ยวเดียวของเรื่องเท่านั้นเอง กลิ่นไอโดยรวมของหนังค่อนข้างอบอุ่นและสามารถดูได้ทั้งครอบครัว ทั้งคนรักหมาและคนที่กำลังท้อแท้กับชีวิต หนังเรื่องนี้เป็นตัวเลือกที่ดีมากจริงๆ The Call Of The Wild เปิดเรื่องมาค่อนข้างสดใส ตัวเอกของเราเป็นหมาตัวใหญ่ท่าทางเฉลียวฉลาด มันเติบโตในบ้านของผู้พิพากษาที่ไม่ต้องเจอกับความลำบากอะไรเลย แต่เพราะความซุกซนและไม่เข้าใจถึงวิธีการวางตัวที่เหมาะสม ทำให้เจ้าของต้องดัดนิสัยด้วยการสั่งให้มันนอนนอกบ้านสักคืน และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของการผจญภัยอันยาวนาน โดยเจ้าหมายังไม่รู้ตัวเลยว่ามันจะไม่ได้กลับมาที่บ้านหลังนี้อีกเป็นครั้งที่สอง การเล่าเรื่องของ The Call Of The Wild เกิดขึ้นในยุคที่เรายังไม่มีระบบส่งจดหมายแบบในปัจจุบัน จำเป็นต้องใช้หมาลากเลื่อนเป็นผู้ส่งสาร เลยมีความต้องการซื้อขายหมาสายถพันธุ์ดี ทำให้มีบางคนที่ต้องการเงินมาจับหมาของผู้พิพากษาไปขายยังตลาด การได้เห็นโลกกว้างครั้งแรกของหมาตัวนี้คือการรับบทเป็นหมาลากเลื่อน ที่แสดงความพิเศษหลังจากเข้าไปในกลุ่มได้ไม่นาน มันได้ขึ้นเป็นผู้นำที่ผู้ตามให้ความเคาระอย่างมาก ทุกอย่างเหมือนจะไปได้ดี และระหว่างที่เรากำลังดู The Call Of The Wild ในช่วงแรกนี้ เราจะมีความสุขจนหัวใจพองโต แต่ไม่นานความเศร้าก็มาเยือนเมื่อระบบไปรษณีย์พัฒนามากขึ้น หมาลากเลื่อนไม่จำเป็นอีกแล้ว และทั้งทีมต้องถูกส่งไปขายอีกครั้ง แต่มันก็เป็นจุดเริ่มต้นใหม่ที่จะพาไปถึงการฟังเสียงหัวใจของหมาตัวนี้อย่างแท้จริง การได้รู้จักอิสรภาพ มิตรภาพ และพื้นที่ที่เป็นของตัวเองอย่างสมบูรณ์ คือรางวัลอันยิ่งใหญ่ของการก้าวผ่านทุกความเจ็บปวด ไม่ว่าต่อจากนี้เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ก็บอกได้แค่ว่าไม่ดูจะต้องเสียใจแน่นอน

The Old Way เรื่องราวของความเชื่อและวิถีทางแบบเก่า

The Old Way

ถ้าชื่นชอบหนังแนวสยองขวัญที่ไม่ทำให้รู้สึกหวาดกลัวมากจนทนดูไม่ไหว The Old Way นับว่าเป็นหนังใหม่ที่น่าสนใจทีเดียว เพราะไม่ใช่แค่ขายความเละเทะของเหล่าปีศาจเพียงอย่างเดียว แต่มีเส้นเรื่องที่ชวนติดตามตลอดจนทำให้หนังเรื่องยาวกลายเป็นหนังสั้นในความรู้สึกไปเลย เรื่องของโทนภาพและเสียงก็ทำได้น่าประทับใจ มีหลายส่วนที่ดึงให้คนดูตระหนักถึงความศรัทธาของคนเก่าแก่ได้มาก อันดับแรกต้องบอกก่อนว่าหนังเรื่อง The Old Way เป็นแนวปีศาจที่ไม่ได้ฉีกกฎหรือหักมุมอะไรมากนัก ดังนั้นคนที่เสพหนังทำนองนี้มาเยอะ ก็จะพอเดาได้ว่าจุดเปลี่ยนสำคัญของเรื่องจะอยู่ที่ไหนบ้าง แต่เสน่ห์ของหนังคือการทำให้ตัวละครเป็นสิ่งที่จับต้องได้จริง เหมือนกับว่าพวกเขามีตัวตนอยู่จริง แล้วก็ผสานความเชื่ออันแรงกล้าในมุมมองที่แตกต่างกันลงไปในตัวละคร ซึ่งความแตกต่างนี้เองที่ทำให้หนังเพิ่มระดับความสนุกมากขึ้นเรื่อยๆ เรื่องราวเริ่มต้นที่ตัวละครเอกที่เป็นผู้หญิงเดินทางไปยังสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งว่ากันว่าเป็นพื้นที่ต้องห้าม แล้วก็ถูกจับตัวมากักขังไว้ วิธีการเล่าของ The Old Way จะใช้เทคนิคการสลับเหตุการณ์ไปมา คนดูจึงต้องคอยต่อเรื่องราวเอาเองพอสมควร เมื่อตัวเอกถูกจับมาแล้วก็มีบุคคลปริศนาท่าทางปะหลาด มาจ้องตาเธอพร้อมบอกว่าเธอมีปีศาจอยู่ในตัว ผู้ช่วยของบุคคลปริศนานั้นจึงต้องล่ามเธอไว้ในห้องสี่เหลี่ยมโดยไม่บอกอะไรอีก ต่อมา The Old Way ได้ปล่อยให้เพื่อนตัวเอกเข้าฉากมา เธอคนนี้เป็นผู้หญิงที่มาช่วยอธิบายเรื่องราวและช่วยกระตุ้นให้เราเห็นความเชื่อมโยงที่เกิดขึ้น พร้อมกับคอยเคียงข้างตัวเอกตลอดการทำพิธีไล่ปีศาจ แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องง่าย ความสยองทุกอย่างจะปรากฏ ความเจ็บปวดจะถาโถม แต่ตัวเอกจะต้องแบกรับและต่อสู้ให้ผ่านพ้นไปด้วยตัวเอง สุดท้ายแล้ววิถีเก่าจะดำรงอยู่เรื่อยไป หรือจบสิ้นทุกอย่างไปกับการกำจัดปีศาจในคราวนี้ คงต้องไปติดตามกันเอง

ชวนให้ดูหนังแห่งความทรงจำ สิ่งเล็ก ๆ ที่เรียกว่ารัก 2553

หนังไทย

ทุกคนที่เป็นคอหนังเคยไหม เราจะมีหนังไทยเรื่องหนึ่งที่เป็นความทรงจำดี ๆ ตลอดมาของพวกเรา ไม่ว่าเราจะกลับไม่ดูอีกกี่ครั้งก็ทำให้เรานั้นรู้สึก อบอุ่น คิดถึง อาจจะเป็นหนังที่เรียบง่ายน่ารัก ๆ แต่มันก็มีค่าต่อความทรงจำของเราเหลือเกิน และหนังเรื่อง สิ่งเล็ก ๆ  ที่เรียกว่ารัก A Little Thing Called Love (2010). ก็เป็นอีกหนึ่งที่เก่ามาก ตั้งแต่นักเขียนอยู่ป.6 เป็นหนังที่ดูทีไรก็ทำให้นึกถึงทั้งเพื่อน ทั้งรุ่นพี่ที่แอบชอบแบบกรุ๊บกริ๊บ วัยใส  นักแสดงนำหนังเรื่องนี้นั้นก็คือ ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก ลือวิเศษไพบูลย์ และ มาริโอ้ เมาเร่อ พระเอกหนุ่มในตำนานที่สาว ๆ มันจะกริ๊ดกร๊าดเพราะหัวนมของเค้านั้นเป็นสีชมพู เรื่องราวคร่าว ๆ นั้นก็คือ เมื่อช่วงเวลาวัยเด็กช่วงมัธยม เรามักจะแอบชอบใครสักคน ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนหรือรุ่นพี่หรือใครก็ตามที่เป็นเพศตรงข้ามของเรา เด็กน้อยมักจะฝันละเมอและเพ้อว่าตัวของเรานั้นได้เป็นแฟนกับเค้า วัยนี้มักจะกุ๊กกิ๊กเรื่องความรักเป็นอย่างมากเพราะเวลาที่เรานึกถึงมันทำให้รู้สึกความกระชุมกระชวยของหัวใจ และแน่นอน น้ำ เป็นตัวเอกของเรื่องนี้ น้ำนั้นแอบชอบรุ่นพี่คนหนึ่งที่ชื่อว่า โชน แต่พี่โชนนี้เป็นรุ่นพี่สุดฮ็อต ที่ไม่ว่าจะไปไหนก็จะมีแต่สาว ๆ ตามกริ๊ดไปหมด มันเป็นเรื่องที่ยากมาก ๆ ที่จะทำให้รุ่นพี่สุดฮ็อตคนนั้นหันมามองเลย น้ำจึงเปลี่ยนแปลงตัวเองให้สวยขึ้น ดูดีขึ้น แต่สิ่งที่ทำให้น้ำนั้นทำแบบนี้ก็อาจจะเป็นพลังแห่งรักสำหรับใครที่กำลังหา หนังย้อนวัย ที่ทำให้เราดูแล้วคิดถึงความทรงจำเก่า ๆ ไม่ว่าเรื่องนั้นจะเป็นเรื่องที่ดีหรือร้าย มันก็เป็นสิ่งที่อยู่ในความทรงจำของเราเสมอ เราขอแนะนำให้ชมหนังเรื่อง สิ่งเล็ก ๆ ที่เรียกว่ารัก 2553 และสามารถรับชมแบบถูกลิขสิทธิ์ได้ที่ Netflix

รีวิว หนังรักเกาหลี always กอดคือสัญญา หัวใจฝากมาชั่วนิรันดร์ 2554

always กอดคือสัญญา

ทุกคนจะรู้อยู่แล้วว่า หนังรักของประเทศเกาหลี เป็นอะไรที่วิเศษมาก ทำแบบไม่ได้หวานเลี่ยน มีความรู้สึกของอารมณ์ทั้งหมด ไม่ว่าจะ รัก เหงา เศร้า เสียใจและสมหวัง โดยรวมแล้วหนังรักของประเทศเกาหลีมักจะทำให้มันจบแบบมีความสุข เพราะเค้าทราบดีกว่าความรู้เป็นสิ่งที่ผู้ชมควรที่จะได้รับมากกว่าการผิดหวัง และหนังเรื่อง always กอดคือสัญญา หัวใจฝากมาชั่วนิรันดร์ ก็เป็นอีกหนึ่งหนังที่เราจะนำเสนอ  เราจะขอรีวิว always กอดคือสัญญา หัวใจฝากมาชั่วนิรันดร์ แบบคร่าว ๆ เนื้อหาบางตอนอาจจะมีการสปอยบ้างเล็กน้อย เพื่อให้มันเข้าใจง่ายมากยิ่งขึ้น เริ่มนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับความรักของหนุ่มที่ไม่ได้รวยแบบมังคั่งแต่มีงานไว้เลี้ยงดูตัวเอง กับสาวตาบอดที่แม้จะเดินทางไปไหนมาไหนยังรำบาก สาวตาบอคนนี้เป็นคนที่น่ารักดี ถ้าเธอไม่ตาบอดชีวิตของเธอคงจะดีกว่านี้ แต่ทำยังไงได้ก็โชคชะตามันลิขิตมาให้เป็นแบบนี้ไปแล้ว เธอมักจะเดินไปที่ป้อมยามเพื่อขอของหรืออะไรสักอย่างในทุก ๆ วัน แล้วก็จะมีคนใจดีช่วยเธอเสมอพาเธอส่งกลับบ้าน ด้วยความที่วันหนึ่งพระเอกต้องไปเฝ้ายามแทน ผู้หญิงตาบอดคนนี้คนเดิมก็เดินมาหาขอของเหมือนกันพระเอกจึงช่วย แต่คือเริ่มช่วยเยอะกว่าเดิมทุกวัน ๆ จนมันเกิดเป็นความรัก พระเอกเลยมีความคิดอยากจะทำให้เธอนั้นมองเห็น โดยการผ่าตัดลูกตาให้เธอแต่ค่าใช้จ่ายนั้นค่อนข้างแพง แต่เพื่อคนที่รักยังไงเราก็จะต้องทำจริง ๆ แล้วหนังเรื่องนี้มุมกล้อให้คะแนน 10/10 เลยเพราะสวยมาก ถ่ายได้อารมณ์ ส่วนเนื้อเรื่องให้ 9/10 ถือว่ากำลังดี กำลังได้ที่ กำลังอิน เป็นหนังที่ให้ความรู้สึกถึงความโรแมนติกพร้อมกับความเศร้าไปในตัว แต่ไม่ได้ถึงกับเศร้าแบบดิ่ง ๆ อาจจะมีเศร้าบ้างเป็นบางช่วง สำหรับใครที่ชอบดูหนังรักของเกาหลีขอแนะนำหนังเรื่อง always กอดคือสัญญา หัวใจฝากมาชั่วนิรันดร์ 2554 และสามารถรับชมแบบถูกลิขสิทธิ์ได้ที่ Netflix

รีวิว Tall Girl รักยุ่งของสาวโย่ง

Tall Girl รักยุ่งของสาวโย่ง

ใครที่เป็นคอหนังรัก น่ารัก ๆ สนุก ๆ ไม่ได้ปวดหัวตัวร้อนเวลาดูตาม เราขอแนะนำหนังเรื่อง Tall Girl รักยุ่งของสาวโย่ง ให้ลองพิจารณาในการรับชมด้วย เพราะหนังเรื่องนี้นั้นได้ข้อคิดที่ดีมาก สำหรับสาว ๆ ไม่ว่าตัวเองจะมีรูปร่าง อ้วน ผอม สูง หรืออะไรก็ตามแต่ อยากจะให้ทุกคนนั้นรักตัวเองในสิ่งที่เป็น และก็รักคนที่เค้ารักเราในสิ่งที่เราเป็นด้วย ไม่อยากจะให้เราเปลี่ยนแปลง ก่อนที่จะรีวิวหนังเรื่องนี้ ขอแนะนำตัวละครหลัก ๆ ก่อนนั้นก็คือ แม่สาวตัวสูงโย่ง เอวา มิเชลล์ แสดงเป็น จอรดี่ เครแมน ประวัติสาวน้อยคนนี้  เธอนั้นมีส่วนสูงถึง 170 เมื่อตอนที่เธออายุเพียงงแค่ 16 เท่านั้น ถ้าเป็นฝรั่งนั้นอาจจะไม่ใช่เรื่องที่แปลกอะไร แต่ถ้าเป็นคนไทยอาจจะแปลก ซึ่งเธอแสดงเป็นตัวเอกในเรื่องนี้ การรีวิวโดยรวมนั้นก็คือ เธอคิดว่าความสูงของเธอนั้นเป็นปัญหาชีวิตเพราะไม่ว่าเธอจะทำอะไร ก็เป็นที่น่าจับตามองอยู่เสมอ ด้วยความที่เธออยู่ในสังคมที่กำลังเป็นวัยรุ่นเธอต้องโดนกลั่นแกล้งบางล่ะ แต่การกลั่นแกล้งในแต่ละครั้งนั้นก็อาจจะนำเรื่องส่วนสูงของเธอมาพูด  โดยปกติแล้วผู้หญิงตัวสูงนั้นเป็นอะไรที่แปลกและหายาก ผู้หญิงมักจะไม่ค่อยสูงกันเลยเป็น มาตรฐานไปแล้วว่า ผู้หญิงตัวสูงใหญ่แสดงว่าไม่สวย เธอเลยคิดว่าชาตินี้คงไม่มีผู้ชายคนไหนอยากจะเข้ามาจีบเธอหรอกเพราะเธอสูงขนาดนี้แต่เธอนั้นลืมมองสิ่งที่อยู่ข้างกายของเธอเองหนังเรื่องนี้ถือว่าเวลาไม่ยาวนานเกินไป แต่พร็อตเรื่องนั้นเดาได้นานมาก ไม่มีพลิกหรือหักมุมแต่อย่างใดเลย ส่วนตัวให้คะแนนของเรื่องอยู่ที่ 7/10 คะแนน แต่ในคะแนนของมุมกล้องเพราะมีความน่าสนใจ ถ่ายออกมาสวย ดูดี 10/10 เนื้อหาสาระเรื่องการสร้างแรงบันดาลใจก็ดีว่าดีอยากให้ทุกคนนั้นพอใจกับสิ่งที่ตัวเองเป็น ถ้าโลกใบนี้มีแต่คนที่หน้าตาเหมือนกันหมด มันก็คงมีความหลอนน่าดู สำหรับใครที่อยากจะรับชมหนังเรื่องนี้สามารถรับชมแบบถูกลิขสิทธิ์ได้ที่ Netflix

รีวิว The half of it รักครึ่ง ๆ กลาง ๆ

The half of it รักครึ่ง ๆ กลาง ๆ

สำหรับใครที่เป็น คอหนังรักฝรั่ง แต่ไม่ใช่แนวแบบหวานเจี๊ยบ ขอแนะนำหนังเรื่อง The half of it รักครึ่ง ๆ กลาง ๆ เป็นหนังที่ทำให้เรารู้คุณค่าของคำว่ารัก เวลาที่สมองและความรู้สึกตัดสินใจนั้นเป็นอย่างไร มันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากเหมือนกันนะ หลาย ๆ คนอาจจะพูดว่าทำตามใจตัวเอง แต่ถ้าความเป็นจริงแล้ว เราทำแบบนั้นไม่ได้ล่ะ เราจะทำยังไงต่อไปอีกคนเราก็รักเพราะความคิดของเค้า ส่วนอีกคนเราก็รู้สึกดีด้วย นี่หรือเปล่าที่เรียกว่ารักครึ่ง ๆ กลาง ๆ ก่อนที่จะเข้าการรีวิวขอแนะนำตัวละครหลักก่อนนั้นก็คือ เลียห์ ลูวิส แสดงเป็น เอลลี่ย์ จู ซึ่งแน่นอนเธอแสดงเป็นตัวเอกในหนังเรื่อง The half of it รักครึ่ง ๆ กลาง ๆ ด้วยความที่เธอนั้นเป็นลูกคนจีน พอพูดถึงคนจีนทุกคนจะรู้อยู่แล้วว่าพวกเค้านั้นฉลาดมากในการหาเงิน ไม่ว่าจะทำอะไร เราก็จะหาหนทางในการทำเงินได้อยู่แล้ว นักเรียนมักจะชอบจ้างในจูนั้นทำรายงานให้เพราะเธอเป็นคนที่หัวดี คิดไว แต่นิสัยหลัก ๆ ก็จะเหมือนพวกเนิร์ดหน่อย ๆ อยู่มาวันหนึ่งมีชายหนุ่มคนหนึ่งต้องการที่จะจีบผู้หญิงแต่ไม่รู้จะเข้าหายังไงเลยมาจ้างให้ จู นั้นเขียนจดหมายให้เค้าหน่อย จูก็รับปากจะทำให้ด้วยความสนิทสนมกัน ความสัมผัสมันก็เริ่มเพิ่มมากขึ้นเป็นเรื่องปกติ และผู้หญิงคนนั้นพึ่งมารู้ว่า คนที่เขียนจดหมายหาเธอนั้นไม่ใช่ผู้ชายที่ส่งให้แต่เป็นจูที่เป็นคนเขียนส่งเรื่อง The half of it รักครึ่ง ๆ กลาง ๆ สำหรับมุมกล้อง 10/10 สำหรับเนื้อเรื่องให้ 7/10 เพราะว่ามันจะมีช่วงหนึ่งที่ค่อนข้างน่าเบื่อแต่ไม่ได้น่าเบื่อจนอยากจะปิดหนังมันยังมีอารมณ์ลุ้นที่อยากจะดูต่ออีก พร็อตเรื่องถือว่าโอเครแปลกใหม่ น่าค้นหา มีความเกี่ยวกับเรื่องของความรู้สึกคนเพราะมันซับซ้อนแบบนี้จริง ๆ สำหรับใครที่อยากจะรับชมหนังเรื่องนี้แบบถูลิขสิทธิ์สามารถรับชมได้ที่ทาง Netflix

Don’t Look Up หนังใหม่ “ลีโอนาร์โด ดิแคพรีโอ” เตรียมฉายบน Netflix สิ้นปีนี้

Don’t Look Up

Don’t Look Up ภาพยนตร์แนวดราม่าเรื่องใหม่ของ Netflix ฝีมือผู้กำกับ “อดัม แมคเคย์” (Adam McKay) ที่ได้สองนักแสดงระดับแถวหน้าของฮอลลีวูดอย่าง “ลีโอนาร์โด ดิแคพรีโอ” (Leonardo DiCaprio) และ “เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์” (Jennifer Lawrence) มารับบทนำ ได้ประกาศวันฉายในวันที่ 24 ธันวาคม นี้  โดยหนังเรื่องนี้ได้รับการคาดหวังอย่างสูงว่าจะสามารถเข้าชิงรางวัลสาขาต่าง ๆ ทั้งในลูกโลกทองคำ และรางวัลออสการ์ได้เลยทีเดียว Don’t LookUp หนังดราม่าว่าด้วยนักบินอวกาศระดับล่าง 2 คน Don’t Look Upหนังแนวดราม่าผลงานของผู้กำกับและมือเขียนบท “อดัม แมคเคย์” ที่เคยฝากผลงานแนวคอมเมดี้เรื่องดังหลายเรื่อง ทั้ง Anchorman (2004), Talladega Nights (2006), Step Brothers (2008) รวมถึงหนังดราม่าระดับรางวัลออสกาสร์อย่าง The Big Shot (2015) แถมยังได้สองนักแสดงเจ้าของรางวัลออสการ์อย่าง “ลีโอนาร์โด ดิแคพรีโอ” และ “เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์” มารับบทนำอีกด้วย เรียกได้ว่าแค่เห็นชื่อนักแสดงก็การันตีคุณภาพได้ระดับหนึ่งแล้ว สำหรับ Don’t LookUpว่าด้วยเรื่องราวของนักบินอวกาศ 2 คน รับบทโดย ลีโอนาร์โด และ เจนนิเฟอร์ ที่พยายามเดินสายออกสื่อต่าง ๆ เพื่อเตือนสาธารณชนเกี่ยวกับดาวหางมรณะที่กำลังจะพุ่งเข้าชนโลกในอีก 6 เดือน ขณะที่รัฐบาลก็พยายามทำทุกวิธีทางเพื่อปิดบังความจริงนี้  โดยหนังเรื่องนี้ได้รับการคาดหวังค่อนข้างมากว่าจะนำเสนอเนื้อหาเสียดสีการเมืองของสหรัฐฯ ได้ดีพอจะเข้าชิงรางวัลเวทีใหญ่ ๆ ทั้งลูกโลกทองคำและออสการ์ นอกเหนือจากนักแสดงนำอย่าง ลีโอนาร์โด ดิแคพรีโอ และ เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ แล้ว หนังเรื่องนี้ยังได้นักแสดงมากฝีมืออีกหลายคนมาร่วมสมทบ ไม่ว่าจะเป็น “เมอรีล สตรีป” (Meryl Streep) ที่จะมารับบทประธานาธิบดีสหรัฐฯ และ “โจนาห์ ฮิลล์” (Jonah Hill) ที่มารับบทลูกชายของประธานาธิบดี รวมทั้งยังได้ เคต แบลนเชตต์ (Cate Blanchett), ทิโมธี ชาลาเมต์ (Timothée Chalamet), อารีอานา กรานเด (Ariana Grande) และ คริส อีแวนส์ (Chris Evans) มาร่วมแสดงด้วย ทั้งนี้ Don’t LookUpมีกำหนดเข้าฉายบน Netflix ในวันที่ 24 ธันวาคม นี้ โดยจะเข้าฉายพร้อมกับภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์หลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น Sherlock Holmes 3, Spider-Man: No Way Home และ The Matrix 4

The Guilty หนังใหม่ “เจค จิลเลินฮาล” ที่ถ่ายทำโดยไม่เจอผู้กำกับตลอดทั้งเรื่อง

The Guilty

The Guilty หนังใหม่ของ Netflix ที่ได้นักแสดงหนุ่ม “เจค จิลเลินฮาล” (Jake Gyllenhaal) และผู้กำกับ อองตวน ฟูกัว (Antoine Fuqua) จาก “The Equalizer” (2014) โดยเปิดกล้องถ่ายทำไปแล้วในช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ผ่านทางโปรแกรม Zoom และ FaceTime เกือบตลอดทั้งเรื่อง ซึ่งนั่นทำให้นักแสดงกับผู้กำกับไม่เคยเจอหน้ากันเลยนับตั้งแต่ถ่ายทำ The Guilty หนังดัดแปลงจากเวอร์ชั่นต้นฉบับเมื่อปี 2018 The Guilty ภาพยนตร์แนวระทึกขวัญเรื่องใหม่ของ Netflix ฝีมือผู้กำกับ “อองตวน ฟูกัว” ที่เคยมีผลงานหนังแอคชั่นเรื่องดังอย่าง “Olympus Has Fallen” (2013), “The Equalizer” (2014) และ The Magnificent Seven (2016) และได้นักแสดงหนุ่มที่เคยถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์มาแล้วอย่าง “เจค จิลเลินฮาล” มารับบทนำ โดยตัวหนังเปิดกล้องถ่ายทำกันเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา แต่เนื่องจากตัวผู้กำกับ ฟูกัว มีประวัติใกล้ชิดกับผู้ที่ติดเชื้อโควิด-19 ทำให้เขาจำเป็นต้องกักตัวนานหลายสัปดาห์ ทำให้การถ่ายทำเกือบทั้งหมดต้องทำผ่านโปรแกรม Zoom และ FaceTime เกือบตลอดทั้งเรื่อง โดยตัวผู้กำกับ ฟูกัว จะควบคุมการถ่ายทำผ่านจอมอนิเตอร์ในรถตู้ที่จอดอยู่ข้าง ๆ กองถ่าย  ซึ่ง เจค กล่าวว่า “เราคุย FaceTime กันหลังถ่ายฉากลองเทคนาน 25 นาที เขากำกับผมอย่างนั้นอย่างนี้ ผมก็จำสิ่งที่เขาสั่งไว้ แล้วเราก็กลับมาถ่ายกันอีกเทค เราสองคนไม่เคยเจอหน้ากันจริง ๆ เลยตลอดการถ่ายทำ” สำหรับ The Guiltyเป็นภาพยนตร์แนวระทึกขวัญที่ดัดแปลงจากหนังต้นฉบับของเดนมาร์กในชื่อเดียวกันเมื่อปี 2018 โดยเป็นเรื่องราวของเจ้าหน้าที่ตำรวจสาย แผนก Call Center ที่ได้รับสายขอความช่วยเหลือจากเหยื่อที่กำลังถูกลักพาตัว ซึ่งเขาต้องทำทุกวิธีทางเพื่อสืบหาตำแหน่งของเหยื่อไปพร้อม ๆ กับเวลาที่เหลือน้อยลงทุกที  ซึ่งภาพยนตร์หนังเรื่องนี้นอกจากจะได้ เจค จิลเลินฮาล มารับบทนำแล้ว ยังได้นักแสดงสมทบอย่าง อีธาน ฮอว์ค (Ethan Hawke), ปีเตอร์ ซาร์สการ์ด (Peter Sarsgaard), ไรลีย์ คีโอ (Riley Keough) และ ไบรอน โบเวอรส์ (Byron Bowers) ส่วนตัวหนังนั้นมีกำหนดฉายบน Netflix ในวันที่ 1 ตุลาคมนี้