สำหรับตอนนี้คงต้องยอมรับเลยว่าหนังที่มีการเล่นเรื่องราวเกี่ยวกับการท่องเวลา มันยังคงเป็นอะไรที่แปลกใหม่ และสามารถแตกแขนงแยกออกไปได้เยอะมากๆ ไม่เว้นแม้กระทั่ง รีวิว In The Shadow Of The Moon (ย้อนรอยจันทรฆาต) หนังเรื่องนี้ ที่มีการหยิบยกเรื่องราวแนวการท่องเวลาเอามาเล่าได้อย่างน่าสนใจเอามากๆ ชื่อเรื่อง : “In The Shadow OfThe Moon” (ย้อนรอยจันทรฆาต) แนว : ไซไฟ นักแสดง : Boyd Holbrook, Cleopatra Coleman, Michael C. Hall บทภาพยนตร์ : Gregory Weidman, Geoff Tock ผู้กำกับ : Jim Mickle ค่าย : Netflix วันฉาย : 27 กันยายน 2019 เวลา : 1 ชั่วโมง 55 นาที IMDb : 6.2 เรื่องย่อ เรื่องราวของ “โทมัส ล็อคฮาร์ท” (รับบทโดย Boyd Holbrook) ตำรวจนักสืบหนุ่มที่หมกมุ่นอยู่กับคดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่จะโผล่ออกมาฆาตกรรมในทุกๆ 9 ปี โดยเหยื่อทุกรายนั้นจะมีรูเหมือนเข็มแทง 3 รูที่หลังคอ และจะเสียชีวิตเพราะขาดเลือด เนื่องจากเลือดไหลหมดตัวนั่นเอง แถมตัวฆาตกรต่อเนื่องนั้นยังรู้จักเขาดีอย่างกับเคยรู้จักกันมาก่อนอีกด้วย และตัวฆาตกรนั้นยังมีการพูดทิ้งท้ายก่อนจากไปเอาไว้ว่า หาก “เขาฆ่าเธอ มันจะทำให้โลกใบนี้สูญสลายไป” นั่นทำให้โทมัสหมกมุ่นอยู่กับคดีที่ยังไขไม่ได้นี้มาตลอดชีวิต จนทำให้ผู้คนรอบข้างมองว่าเขาไม่เป็นผู้เป็นคนไปแล้ว รีวิว In The Shadow Of The Moon สำหรับเรื่องนี้ต้องยอมรับเลยว่า เนื้อเรื่องเปิดตัวได้อย่างน่าสนใจมากๆ ฉากบู๊ ฉากแอคชั่นต่างๆ อาจจะพูดได้ว่า ถ้าหนังเรื่องนี้ถ้ามีทุนสร้างมากกว่านี้ น่าจะสามารถสร้างออกมาอย่างใหญ่โตได้เลย แต่เสียดายที่ทุนการสร้างน่าจะน้อยไปนิด ก็เลยรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้มันสนุกแต่ยังไม่สุดสักที เนื้อเรื่องเราสามารถเดาทางออกได้ ซึ่งมันมีอยู่อย่างหนึ่งที่เราว่ามันค่อนข้างพีคพอสมควร นั่นก็คือ ตอนแรกที่ดูเราไม่ได้คิดเลยนะว่าจะมีการหยิบยกเรื่องราวเกี่ยวกับการท่องเวลามาเล่าให้ฟัง เพราะมันเปิดเรื่องด้วยฆาตกรต่อเนื่องเพียงเท่านั้นเอง เอาเป็นว่าหนังเรื่องนี้เราก็สามารถดูได้เพลินๆอยู่นะ แต่เราขอเตือนนิดหนึ่งว่า หนังเรื่องนี้มันค่อนข้างโหดพอตัวเลย มีฉากที่มีสมองไหลนองเต็มพื้น เลือดท่วมตัวเลย เอาเป็นว่าทุกคนสามารถดูหนังเรื่องนี้ไปแบบสบายๆเลย แต่ถ้าหากใครที่ไม่ชอบหนังแนวการท่องเวลาเรื่องนี้อาจจะไม่ตอบโจทย์คุณสักเท่าไร ตัวอย่าง หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนัง Netflix เรื่องอื่นๆ เช่น รีวิว How It Ends ไปกับเรื่องราวเกี่ยวกับเหตุการณ์หายนะบางอย่าง ได้อีกที่ filmograd.net
หลังจากที่ภาพยนตร์เรื่องสั้นอย่างเรื่อง “ตีสาม” ที่ประสบความสำเร็จหลังจากออกฉายไปแล้วนั้น มันจะมีเรื่องสั้นเรื่องหนึ่งที่ถูกพูดถึงเป็นอย่างมากก็คงหนีไม่พ้นเรื่องสั้นเรื่องสุดท้ายไปกับ “รีวิว O.T. ผี Overtime” ซึ่งหลังจากประสบความสำเร็จผ่านไปประมาณ 2 ปีแล้วนั้น ทางค่ายไฟว์สตาร์ก็ไม่รอช้า รีบหยิบยกเรื่องสั้นเรื่องนี้มาสร้างแยกภาคต่อเป็นเรื่องคนตัวเองไปเลย ชื่อเรื่อง : “O.T. ผี Overtime” แนว : ตลก-สยองขวัญ นักแสดง : เรย์ แมคโดนัลด์, ชาคริต แย้มนาม, อนันดา เอเวอริ่งแฮม, อัครัฐ นิมิตชัย, พิมพ์ปวีณ์ โคกระบินทร์ บทภาพยนตร์ : ณัฐพจน์ พจน์จำเนียร, อิสรา นาดี, ชนินทร อุลิศ ผู้กำกับ : อิสรา นาดี ค่าย : Five Stars Production วันฉาย : 23 ตุลาคม 2014 เวลา : 1 ชั่วโมง 42 นาที IMDb : 5.7 เรื่องย่อ เรื่องราวหลังจากที่ “ที” (รับบทโดย เรย์ แมคโดนัลด์) และ “การัน” (รับบทโดย ชาคริต แย้มนาม) สองหนุ่มเจ้าของบริษัทที่หลอกผีจนลูกน้องอย่าง “บั๊ม” (รับบทโดย ประชากร ปิยะสกุลแก้ว) และ “งิ๊ง” (รับบทโดย กันยรินทร์ นิธินพรัศมิ์) พลัดตกตึกตายด้วยความตกใจไปแล้วนั้น ต่อมาที่บริษัทได้ประสบปัญหาทางด้านการเงินอย่างหนัก จึงได้ตามตัว “ดิน” (รับบทโดย อนันดา เอเวอริ่งแฮม) เจ้าของบริษัทอีกคนกลับมาช่วยกันแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ในขณะเดียวกัน “อั้น” (รับบทโดย อัครัฐ นิมิตชัย) และ “ตาล” (รับบทโดย พิมพ์ปวีณ์ โคกระบินทร์) รุ่นน้องที่มหาลัยที่กำลังจะแต่งงานกัน ได้เข้ามาติดต่อบริษัทออแกไนซ์ของดินและที เพื่อให้ช่วยจัดงานแต่งงานที่โรงแรมให้ แต่หารู้ไม่ว่าการที่อั้นมาจ้างบริษัทของดินและทีนั้น ทั้งหมดก็เพื่อต้องการที่จะแก้แค้นเรื่องราวในอดีตนั่นเอง รีวิว O.T. ผี Overtime สำหรับเรื่องนี้เรียกได้ว่ายังคงคอนเซ็ปเดิมเลย ก็คือการหลอกกันไปหลอกกันมานั่นเอง อาจจะเรียกได้ว่า นี่น่าจะเป็นสเน่ห์ของหนังเรื่องนี้ไปแล้วก็ได้ ซึ่งบางทีดูแล้วเรื่องบางเรื่องอาจจะดูแกล้งกันแรงไปหน่อย แต่ตัวละครในเรื่องกลับไม่โกรธอะไรกันสักนิด แถมยังรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายก็พยายามที่จะหาเรื่องแกล้งคืนอีกต่างหาก กลายเป็นว่าเป็นเรื่องปกติของแก๊งค์นี้เลยก็ว่าได้ สำหรับเรื่องของตัวนักแสดง เราอาจจะไม่ต้องพูดอะไรมาก เพราะตัวละครแต่ละตัวนี่ถือได้ว่าเป็นอันดับต้นๆของวงการหนังผีเลยก็ว่าได้ ชาคริตงี้ อนันดางี้ พี่เรย์งี้ โอ้ย…เรื่องนี้คือมาสานต่อเรื่องราวเรื่องสั้นในหนังเรื่องตีสามเป็นอย่างดีเลยทีเดียว อีกทั้งตอนจบยังมีการทิ้งปมเอาไว้ให้ผู้ชมได้ไปจินตนาการต่อเองอีกต่างหาก เพราะว่าตอนจบมันเป็นตอนจบแบบปลายเปิดมากๆ ตัวอย่าง หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนัง Netflix เรื่องอื่นๆได้อีกที่ filmograd.net
หนังที่บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับวันสิ้นโลกนั้นมีอยู่มากมายหลายเรื่องมาก ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็จะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการเอาชีวิตรอดหลังจากนั้นซะมากกว่า ซึ่งในวันนี้เราจะพาทุกคนมาดูหนังเรื่องหนึ่งไปกับ รีวิว How It Ends ที่จะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเหตุการณ์หายนะบางอย่าง ที่อาจจะทำให้โลกของเราเปลี่ยนแปลงไปตลอด ซึ่งมันเป็นเหตุการณ์ที่เราไม่อาจสามารถที่จะอธิบายออกมาเป็นคำพูดให้ทุกคนเข้าใจได้ เอาเป็นว่า เราไปดูรีวิวหนังเรื่องนี้กันเลยดีกว่า ชื่อเรื่อง : “How It Ends” แนว : แอคชั่นระทึกขวัญ นักแสดง : Theo James, Forest Whitaker, Grace Dove, Kat Graham, Mark O’Brien บทภาพยนตร์ : Brooks McLaren ผู้กำกับ : David M. Rosenthal ค่าย : Netflix วันฉาย : 13 กรกฎาคม 2018 เวลา : 1 ชั่วโมง 53 นาที IMDb : 5.0 เรื่องย่อ เรื่องราวของ “วิล” (รับบทโดย Theo James) ทนายความหนุ่มที่ต้องเดินทางไปทำธุระที่ชิคาโก้ จึงได้แวะไปเยี่ยมเยียน “ทอม” (รับบทโดย Forest Whitaker) พ่อตาของเขา ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างวิลและทอมนั้นไม่ค่อยสู้ดีนัก เรียกได้ว่าเข้ากันไม่ได้เลยซะมากกว่า จนเมื่อวิลทำธุระเสร็จแล้ว ก็กำลังจะเดินทางไปสนามบินเพื่อบินกลับไปหาแฟนสาวของตัวเอง แต่วิลกลับพบว่าเที่ยวบินทุกเที่ยวบินถูกยกเลิกทั้งหมดซะอย่างนั้น อีกทั้งเขายังไม่สามารถติดต่อ “ซาแมนทา” (รับบทโดย Kat Graham) แฟนสาวของเขาได้อีก วิลจึงตัดสินใจกลับไปหาทอม พ่อตาของเขาอีกครั้ง นั่นทำให้ทั้งคู่ตัดสินใจขับรถมากกว่าพันไมล์เพื่อเดินทางกลับไปหาคนที่พวกเขารักมากที่สุด โดยไม่สนใจว่าทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไร รีวิว How It Ends เรื่องราวจะเล่าเหมือนเป็นเหตุการณ์ที่อาจจะสร้างหายนะอะไรบางอย่าง ที่ทำให้ผู้คนต้องหาทางเอาตัวรอดให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นการจี้ การปล้น การฆ่า เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการมา เรียกได้ว่ามันอาจจะเป็นพล็อตเรื่องของหนังที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับวันสิ้นโลกธรรมดาๆทั่วไป แต่เอาจริงๆหนังเรื่องนี้จะเน้นไปที่เรื่องราวของความสัมพันธ์ระหว่างพ่อตา-ลูกเขย ที่ไม่ค่อยจะลงรอยกันซะมากกว่า โดยหนังเรื่องนี้จะใช้การเดินทางเป็นการบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมด เรื่องราวความสัมพันธ์ของพ่อตา-ลูกเขยนั้นเริ่มต้นด้วยการไม่ลงรอยต่อกันจนถึงขนาดที่พ่อตามองข้ามไปจนถึงวันที่ลูกเขยและลูกสาวของเขาเลิกราต่อกันซะด้วยซ้ำ แต่ในที่สุดต่างฝ่ายต่างเข้าใจกันและกันเป็นอย่างดีภายใต้สถานการณ์คับขันที่โลกกำลังจะสูญสิ้นไป สิ่งที่เรารู้สึกรำคาญมากในหนังเรื่องนี้เลย นั่นก็คือพฤติกรรมของวิล ตัวหลักของเรื่องนั่นเอง ที่เขาชอบทำ หรือเชื่อคำพูดของคนอื่นๆ จนทำให้เหตุการณ์มันเลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งหนังเรื่องนี้ยังไม่มีการบอกเล่าเรื่องราวอะไรกับคนดูอย่างเรามากมายไปกว่า การบอกว่ามันมีเหตุการณ์ภัยพิบัติบางอย่างเกิดขึ้นในช่วงแรกของหนังเพียงเท่านั้น แต่เราก็อดทนดูจนจบ เพื่อหวังเพียงว่า ตอนท้ายของหนังน่าจะมีการเฉลยถึงที่มาที่ไป หรือเฉลยอะไรบางอย่างบ้างให้เราได้รู้บ้าง แต่พอดูจนจบแล้วเราก็ยังไม่ได้คำตอบใดๆจากหนังเรื่องนี้เลย ตัวอย่าง หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนัง Netflix เรื่องอื่นๆ เช่น รีวิว Enola Holmes กับการไขคดีของนักสืบสาว ดีกรีน้องสาวเชอร์ล็อก โฮล์ม ได้อีกที่ filmograd.net
จะว่าไปแล้วเดี๋ยวนี้ Netflix เขาขยันทำหนังแนวโรแมนติกคอมเมดี้ออกมาเยอะอยู่พอสมควรเลยนะ อย่างหนังเรื่อง SierraBurgess is a Loser (เซียร์รา เบอร์เจสส์ แกล้งป๊อปไว้หารัก) นี้ก็ผลงานของเน็ตฟลิกซ์เดียวกัน แต่ในวันนี้เราจะพาทุกคนมาดู รีวิว Falling Inn Love (รับเหมาซ่อมรัก) ไปกับเรื่องราวความรักของคนวัยทำงาน ที่ถือว่าผิดแผกแตกต่างไปจากเรื่องอื่นๆเลย เพราะส่วนใหญ่แล้วเน็ตฟลิกซ์จะทำหนังโรแมนติกออกมาในแนวความรักใสๆของวัยรุ่นซะเป็นส่วนมาก เอาเป็นว่าเราไปดูกันเลยดีกว่า ว่าหนังเรื่องนี้จะเป็นยังไงกันบ้าง ชื่อเรื่อง : “Falling Inn Love” (รับเหมาซ่อมรัก) แนว : โรแมนติกคอมเมดี้ นักแสดง : Christina Milian, Adam Demos, Jeffrey Bowyer-Chapman บทภาพยนตร์ : Elizabeth Hackett, Hilary Galanoy ผู้กำกับ : Roger Kumble ค่าย : Netflix วันฉาย : 29 สิงหาคม 2019 เวลา : 1 ชั่วโมง 38 นาที IMDb : 5.6 เรื่องย่อ เรื่องราวของ “กาเบรียล” (รับบทโดย Christina Milian) สถาปนิกสาวสวยจากเมืองใหญ่ จนในวันหนึ่งบริษัทที่เธอทำงานอยู่กลับเลิกกิจการกลางคันซะอย่างนั้น แถมเธอยังมีปัญหากับแฟนหนุ่มจนต้องบอกเลิกกันไป และในขณะเดียวกันนั้นเองเธอได้รับอีเมล์เชิญชวนให้ตอบคำถามเพื่อชิงที่ดินบ้านพักหลังใหญ่จากทางชนบทของประเทศนิวซีแลนด์ ซึ่งเธอก็เป็นผู้โชคดี ได้รับรางวัลนั้นไป เธอจึงได้ออกเดินทางไปเพื่อรับรางวัลนั้นกับมือเธอเอง แต่เมื่อเธอไปถึงแล้วกลับพบว่าบ้านหลังใหญ่สุดสวยที่เธอเห็นในอีเมล์นั้น ความจริงแล้วมันเป็นบ้านหลังเก่าๆเท่านั้นเอง นั่นทำให้เธอมีความคิดว่าจะรีโนเวทบ้านหลังนี้ใหม่และประกาศขายซะ เธอจะได้กลับไปอยู่ที่เมืองใหญ่เหมือนเดิม ซึ่งที่นั่นเอง ทำให้เธอได้เจอเข้ากับหนุ่มหล่อคนหนึ่งที่จะมาเปลี่ยนชีวิตเธอไปตลอด รีวิว Falling Inn Love (รับเหมาซ่อมรัก) ถ้าคุณคาดหวังกับหนังเรื่องนี้ว่ามันจะเป็นหนังที่มีเนื้อเรื่องที่แตกต่างไปจากเรื่องอื่นๆเลย เราขอบอกว่าคุณคิดผิด เพราะว่าหนังเรื่องนี้ได้มีการหยิบยกพล็อตเรื่องเดิมๆ เอามาเล่าในรูปแบบใหม่ซะมากกว่า กับเรื่องราวของสาวอาภัพรัก อกหัก และยังตกงานอีก แต่เธอกลับมีโชคช่วยบางอย่างหล่นทับเธอซะอย่างนั้น ซึ่งถ้าดูจากพล็อตเรื่องแล้วทุกคนอาจจะมองว่า มันไม่น่าเสียเวลาดูเลย เพราะตอนจบก็คงจะคล้ายกับเรื่องอื่นๆอย่างแน่นอน เราต้องบอกเลยว่า ที่คุณคิดนั่นแหละ ใช่เลย…คือหนังมันไม่ได้มีอะไรมาก แถมยังออกไปในแนวเพ้อฝัน ทุกสิ่งทุกอย่างดูดี ดูง่ายไปซะทุกอย่างอีกด้วย แต่หนังเรื่องนี้เราสามารถดูเอาไว้เพื่อเพิ่มพลังชีวิตให้ตัวเองได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว เผื่อวันหนึ่งเราจะได้เจอชีวิตดีๆอย่างนางเอกของเราบ้างไง ฮ่าๆ ตัวอย่าง หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนัง Netflix เรื่องอื่นๆ ได้อีกที่ filmograd.net
ถ้าพูดถึงเรื่องหนังแนวสืบสวนที่เกรดดี ๆ หน่อย ก็คงหนีไม่พ้นหนังเรื่อง “Sherlock Holmes” กันหรอกใช่ไหม แต่วันนี้เราจะพาทุกคนมาดูในอีกมุมมองหนึ่งของหนังแนวเดียวกันนี้ ใน รีวิว Enola Holmes ซึ่งเป็นหนังที่มีเค้าโครงมาจากนิยายชุด “The Enola Holmes Mysteries” ที่เขียนโดย Nancy Springer นั่นเอง เดิมทีแล้ว ก่อนหน้านี้มีคดีความฟ้องร้องกันอยู่ในข้อหาเรื่องของลิขสิทธิ์ในข้อหาที่ใช้ตัวละคร เชอร์ล็อก โฮล์ม หลังจากที่ยังไม่หมดลิขสิทธิ์ Public Domain (สาธารณสมบัติ ที่มีอายุ 50 ปีหลังจากที่เจ้าของลิขสิทธิ์เสียชีวิตไป) แต่เราคิดว่าทั้ง 2 ฝ่ายน่าจะเคลียร์กันเรียบร้อยแล้วล่ะ ทาง Netflix ถึงได้เอาหนังมาลงได้ เอาเป็นว่า… เรามาดูกันเลยดีกว่าว่าหนังเรื่องนี้มันเป็นยังไงบ้าง ไปเล้ยยยย! ชื่อเรื่อง : “Enola Holmes” แนว : ลึกลับ ,สืบสวน นักแสดง : Millie Bobby Brown, Sam Claflin, Henry Cavill, Helena Bonham Carter บทภาพยนตร์ : Jack Thorne ผู้กำกับ : Harry Bradbeer ค่าย : Netflix วันฉาย : 23 กันยายน 2020 เวลา : 02 ชั่วโมง 03 นาที IMDb : 6.7 เรื่องย่อ เรื่องราวของ “เอโนล่า โฮล์ม” (รับบทโดย Millie Bobby Brown) น้องสาวของเชอร์ล็อก โฮล์ม นักสืบชื่อดัง เธอพบว่าแม่ของเธอหายตัวไป เธอจึงตั้งใจออกไปตามหาแม่ที่เลี้ยงเธอมาด้วยตัวคนเดียวมาโดยตลอด โดยแม่ของเธอไม่เคยสอนในเรื่องราวเกี่ยวกับผู้หญิงเลยสักอย่าง แต่… แม่ของเธอมักจะชอบสอนทักษะการเอาตัวรอดต่าง ๆ รวมทั้งทักษะการต่อสู้ให้เธอมาตั้งแต่เด็ก ซึ่งในการหายตัวไปของแม่ในครั้งนี้ ทำให้พี่ชายทั้ง 2 คนของเธอที่ประกอบไปด้วย “ไมครอฟต์ โฮล์ม” (รับบทโดย Sam Claflin) และ “เชอร์ล็อก โฮล์ม” (รับบทโดย Henry Cavill) กลับมามีบทบาทในชีวิตเธอมากขึ้น โดย ไมครอฟต์ โฮล์ม นั้นพยายามที่จะบังคับให้เธอเข้าเรียนในโรงเรียนสตรีตามธรรมเนียมของอังกฤษในสมัยนั้น ส่วน เชอร์ล็อก โฮล์ม ก็ออกตามหาแม่ที่หายตัวไปนั่นเอง แต่ในขณะเดียวกัน เอโนล่า ก็หนีออกจากบ้าน เพื่อออกตามหาแม่ของเธอที่ลอนดอน ตามที่แม่ของเธอได้ทิ้งเบาะแสเอาไว้ให้ รีวิว Enola Holmes เรียกได้ว่า หนังเรื่องนี้เป็นหนังเรื่องที่ต่อยอดจากเรื่องเชอร์ล็อกโฮล์มได้อย่างดีเลยทีเดียว ถึงแม้เนื้อเรื่องจะไม่ได้ต่อกันก็ตาม แต่นั่นก็ทำให้คนที่ไม่เคยดูเชอร์ล็อกโฮล์มมาก่อน ก็สามารถดูหนังเรื่องนี้ได้อย่างเข้าใจได้สบาย ๆ โดยหนังเรื่องนี้จะไม่ได้เน้นไปที่การไขคดีของ เชอร์ล็อก โฮล์ม มากเท่าไรนัก เพราะหนังเรื่องนี้จะเน้นไปที่ เอโนล่า เป็นหลักเลย ไม่ว่าจะเป็นฉากบู๊ หรือฉากการไขคดีต่าง ๆ อีกทั้งหนังเรื่องนี้ยังใช้การเล่าเรื่องที่เปรียบเสมือนมีคนๆหนึ่งมาเล่าเรื่องราวในชีวิตตัวเองให้ฟังได้อย่างน่าสนใจ โดยใช้ตัวหลักอย่างเอโนล่าในการหันมาพูดคุยกับคนดูได้อย่างเป็นธรรมชาตินั่นเอง แล้วไหนจะได้ Millie Bobby Brown หรือที่เรารู้จักกันในนามของ “แอล จากสเตนเจอร์ธิงค์” มารับบทเอโนล่า ที่ดูจะซ่าส์ ก๋ากั่น เข้ากับตัวเธอมากๆ ซึ่งหนังเรื่องนี้เราต้องยกให้ Millie Bobby Brown เป็นเจ้าหญิงเลย เพราะหนังเรื่องนี้เธอสวยมากๆ สำหรับใครที่กำลังตัดสินใจว่าจะดูดีหรือไม่นั้น คือเรายอมรับเลยว่าหนังเรื่องนี้มันดีทุกๆอย่างเลย ไม่ว่าจะเป็นฉาก โลเคชั่น งานภาพ เนื้อเรื่อง ทุกอย่างคือดีงามเข้ากันได้หมดเลย แต่มีอยู่อย่างหนึ่งนะที่เรารู้สึก นั่นก็คือ เหมือนมันจบไปแบบง่ายๆเลย อย่างในตอนฉากท้ายของการตามหาแม่ของเอโนล่านั้น น่าจะให้เธอได้แสดงทักษะการสืบสวนมากกว่านี้อีกสักหน่อย เพราะเหมือนที่เธอทำมาตลอดทั้งเรื่องนั้นสูญเปล่าไปเลย เพราะแม่กลับมาพบเธอเองซะอย่างนั้น แต่รวมๆแล้วหนังเรื่องนี้ดีนะ สนุกเลยแหละ! ตัวอย่าง หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนัง Netflix เรื่องอื่นๆ เช่น รีวิวหนัง Sierra Burgess is a Loser (เซียร์รา เบอร์เจสส์ แกล้งป๊อปไว้หารัก) ได้อีกที่ filmograd.net ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก Ufabet369
ในสังคมสมัยนี้อย่างที่เรารู้กันว่า คนที่มีรูปร่างหน้าตาดี ไม่ว่าจะทำอะไรก็แล้วแต่ ล้วนมีชัยไปแล้วกว่าครึ่งเลยทีเดียว แต่มันจะเป็นไปได้ไหม? ที่ผู้หญิงคนหนึ่งที่มีรูปร่างหน้าตาที่ไม่ได้โดดเด่น หรือสวยตามแบบฉบับอย่างคนอื่นเขา หวังที่จะมีความรักจริงๆสักที หนังเรื่อง Sierra Burgess is a Loser (เซียร์รา เบอร์เจสส์ แกล้งป๊อปไว้หารัก) นี้ จะเป็นหนังที่เป็นคำตอบให้กับทุกๆอย่างเอง ชื่อเรื่อง : SierraBurgess is a Loser (เซียร์รา เบอร์เจสส์ แกล้งป๊อปไว้หารัก) แนว : โรแมนติก นักแสดง : Shannon Purser, Kristine Froseth, RJ Cyler, Noah Centineo บทภาพยนตร์ : Lindsey Beer ผู้กำกับ : Ian Samuels ค่าย : Netflix วันฉาย : 07 กันยายน 2018 เวลา : 1 ชั่วโมง 45 นาที เรื่องย่อ เรื่องราวความรักที่ไม่ได้ตั้งใจ เมื่อ “เวโรนิกา” (รับบทโดย Kristine Froseth) เชียร์หลีดเดอร์สาวสวยที่หลอกชายหนุ่มอย่าง “เจมี่” (รับบทโดย Noah Centineo) ที่เข้ามาจีบเธอ โดยการให้เบอร์โทรของ “เซียร่า” (รับบทโดย Shannon Purser) สาวเรียนเก่งขี้แพ้ประจำโรงเรียนไปแทนเบอร์ของเธอเอง นั่นทำให้เซียร่าและเจมี่เริ่มมีความสัมพันธ์ขึ้นมาเรื่อยๆผ่านการพูดคุยกัน โดยเจมี่หารู้ไม่ว่าคนที่เขาคุยด้วยนั้นไม่ใช่เวโรนิกา คนที่เขาต้องดการจะสานสัมพันธ์ด้วยจริงๆ รีวิว Sierra Burgess is a Loser (เซียร์รา เบอร์เจสส์ แกล้งป๊อปไว้หารัก) สารภาพเลยว่าเข้ามาดูความน่ารักของ Noah Centineo ล้วนๆเลย โอ้ย…คนอะไรน่ารักขนาดนี้ ยิ้มทีโลกสดใสเลยจ้า ฮ่าๆ มาเข้าเรื่องกันดีกว่า หนังเรื่องนี้แรกๆกฌตามแบบฉบับหนังไฮสคูลเลย คือจะมีคนที่ถูกบูลลี่ แล้วก็จะมีสาวสวยตัวเด่นของโรงเรียนนั่นเอง แต่เมื่อดูไปเรื่อยๆแล้ว ตัวหนังมันบอกเราได้ว่าทุกอย่างมันมีที่มาที่ไปของมันเอง ตัวเวโรนิกาเองที่ตอนแรกเราคิดว่านางจะมาเป็นตัวร้าย คอยกลั่นแกล้งเซียร่า แต่มันกลับไม่ใช่เลย นางมาเพื่อคอยช่วยเหลือเซียร่า และกลายเป็นเพื่อนรักกันในที่สุด หรือแม้แต่ตัวเซียร่าเองก็ยังแอบมีนิสัยเสียๆที่แสดงออกมาเช่นกัน เอาจริงๆแล้วเราว่าหนังเรื่องนี้ตั้งใจที่จะสะท้อนให้เห็นถึงการมองคนว่า เราไม่ควรมองคนที่ภายนอก แต่เราควรมองกันให้ลึกถึงภายในจิตใจต่างหาก รวมๆแล้วหนังเรื่องนี้มันให้อารมณ์ฟีลกู๊ดดี แต่ว่ามันจบง่ายไปนิดหนึ่งนะ เหมือนจบแบบห้วนๆไปเลยอ่ะ ตัวอย่าง หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนัง Netflix เรื่องอื่นๆ เช่น รีวิวหนังเรื่อง ตีสาม กับเรื่องราวที่บอกว่าผีจะมาหลอกตอนตีสาม ได้อีกที่ filmograd.net ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก Ufa1688
เรื่องราวที่ถูกเล่าต่อกันมาหลายยุคหลายสมัยกับเรื่องราวเกี่ยวกับผีที่ว่า “ตีสามแล้ว ระวังผีมานะ” ซึ่งเหมือนเป็นความเชื่อว่า ตอนตีสามพวกวิญญาณจะสามารถใกล้ชิดกับมนุษย์ได้มากที่สุดนั่นเอง ซึ่งหนังเรื่องนี้ก็ได้มีการหยิบยกเอาเรื่องราวตรงนี้มาสานต่อ โดยเป็นเรื่องราวของหนังสั้น 3 เรื่องมาต่อกันนั่นเอง เราไปดู รีวิวหนังเรื่อง ตีสาม กันเลยดีกว่า ว่าเป็นยังไงกันบ้าง ชื่อเรื่อง : “ตีสาม” แนว : สยองขวัญ นักแสดง : อภิญญา สกุลเจริญสุข, โฟกัส จีระกุล, วิวิศน์ บวรกีรติขจร, ธนวัฒน์ ประสิทธิสมพร, นัยน์ภัค ภูมิภักดิ์, กาญจน์เกล้า ด้วยเศียรเกล้า, โทนี่ รากแก่น, ปีเตอร์ ไนท์, ชาคริต แย้มนาม, เรย์ แมคโดนัลด์, ประชากร ปิยะสกุลแก้ว, กันยรินทร์ นิธินพรัศม์ ผู้กำกับ : พัชนนท์ ธรรมจิรา, กิรติ นาคอินทนนท์, อิสรา นาดี ค่าย : Five Star Production วันฉาย : 22 พฤศจิกายน 2012 เวลา : 1 ชั่วโมง 35 นาที IMDb : 5.5 เรื่องย่อ+ รีวิวหนังเรื่อง ตีสาม เรื่องแรก : เกศสยอง เรื่องราวของ “มินท์” (รับบทโดย อภิญญา สกุลเจริญสุข) และ “เมย์” (รับบทโดย โฟกัส จีระกุล) ลูกสาวเจ้าของร้านวิกผมที่มักจะมีปัญหาทะเลาะกันเป็นประจำ ซึ่งพ่อกับแม่ของพวกเขาไม่ค่อยจะอยู่บ้านและให้พวกเขาอาศัยอยู่กันเองตามลำพัง โดยมินท์ผู้เป็นพี่สาวชอบปล่อยให้น้องสาวทำงานในร้านคนเดียว ไม่ค่อยสนใจงานในร้านเท่าที่ควร จนในวันหนึ่งเมย์ได้รับซื้อเส้นผมมาจากป้าคนหนึ่ง โดยไม่ได้รู้ที่มาที่ไปของเส้นผมนี้ และในขณะเดียวกันมินท์ได้พาเพื่อนมาสังสรรค์ที่บ้าน โดยเพื่อนของมินท์ได้มีการนำวิกผมนั้นออกมาเล่น แต่นั่นมันกลับทำให้มีบางอย่างที่พร้อมจะเล่นงานพวกเขาทุกคนตามมา สำหรับเรื่องนี้เราว่ามันก็ค่อนข้างน่ากลัวในระดับหนึ่งเลยนะ แต่มันอาจจะยังไม่สุดสักเท่าไร อาจจะด้วยความที่มันเป็นเรื่องสั้นด้วย เรื่องราวก็อาจจะไม่ได้ลงลึกไปมากมายนัก แต่เราว่ามันก็โอเคอยู่นะ นักแสดงทุกก็สามารถแสดงออกมาได้อย่างสมบทบาททุกคนเลย เรื่องที่ 2 : เรือนหอคนตาย เรื่องราวของ “ทศ” (รับบทโดย โทนี่ รากแก่น) บุรุษพยาบาลที่ต้องรับหน้าที่ในการดูแลสภาพศพของ “ไมค์” (รับบทโดย ปีเตอร์ ไนท์) และ “เชอรี่” (รับบทโดย กาญจน์เกล้า ด้วยเศียรเกล้า) คู่รักชาย-หญิงที่ดันเสียชีวิตก่อนที่จะแต่งงานกันเพียง 1 สัปดาห์เท่านั้น โดยทศจะต้องคอยดูแลรักษาสภาพศพให้มีสภาพดี เหมือนยังมีชีวิตอยู่ แต่ทศนั้นกลับตกหลุมรักในเรือนร่างของเชอรี่ ทศจึงนำร่างของเธอออกมาใช้ชีวิตเหมือนเป็นปกติ แต่หารู้ไม่ว่าการกระทำของทศนั้นจะก่อให้เกิดเรื่องราวหลอนๆตามมา เรื่องสั้นตอนนี้เกรซ-กาญจน์เกล้านางสวยมาก ไม่ว่าจะมองมุมไหนนางก็สวย แต่ขอบอกเลยว่าเรื่องสั้นเรื่องนี้มีการหักมุมได้อย่างดีเลย เรียกได้ว่าทางทีมงานทำการบ้านมาดีมากๆ ตัวนักแสดงเองก็แสดงได้สมบทบาทจนเราอินตามไปด้วยเลย แล้วไหนจะฉากเอย อะไรเอย ทุกอย่างมันดูเข้ากันได้เป็นอย่างดีในเรื่องของความหลอนเรื่องนี้ เรื่องที่ 3 : O.T. เรื่องราวในออฟฟิศแห่งหนึ่งที่มี “การัน” (รับบทโดย ชาคริต แย้มนาม) และ “ที” (รับบทโดย เรย์ แมคโดนัลด์) เป็นเจ้าของบริษัท โดยทั้งคู่ต่างไม่มีใครกลัวผีเลย อีกทั้ง ยังชอบแกล้งหลอกผีคนอื่น ๆ อยู่เสมอ จนในวันหนึ่ง “บั๊ม” (รับบทโดย ประชากร ปิยะสกุลแก้ว) และ “งิ๊ง” (รับบทโดย กันยรินทร์ นิธินพรัศม์) ลูกน้องของเขาได้เข้ามาในออฟฟิศกลางดึก เพื่อสะสางงานที่คั่งค้างเอาไว้ การันและทีจึงวางแผนแกล้งหลอกผีบั๊มกับงิ๊ง จนก่อเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดขึ้น อื้อหือ…เรื่องสั้นเรื่องนี้ คือจะหักมุมอีกกี่รอบกันคะ บางทีดูแล้วคิดว่าผีแหละ ผีแน่ ๆ ก็กลับไม่ใช่อีก โดนหลอกอีกตามเคย แล้วยังโดนหลอกหลาย ๆ รอบด้วยนะ คนบ้าอะไรทำไมขี้แกล้งขนาดนี้ แล้วแกล้งแต่ละอย่างแรงๆทั้งนั้นเลย แกล้งแบบนี้อย่าคุยกันอีกเลยดีกว่า ฮ่าๆ สงสัยจะอินมากไป แต่เอาเป็นว่าเราชอบเรื่องสั้นเรื่องนี้มากๆเลยนะ ตื่นเต้นดี แถมยังต้องมานั่งคิดอีกว่า เรื่องจริงหรือหลอกกันแน่เนี่ย ตัวอย่าง หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนัง Netflix เรื่องอื่นๆ เช่น รีวิว Time to Hunt (ถึงเวลาล่า) หนังแนวอาชญากรรมฟอร์มโรงภาพยนตร์จากเกาหลี ได้อีกที่ filmograd.net ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก Ufa678
เรียกได้ว่าเดี๋ยวนี้เกาหลีสามารถทำหนังแนวอื่นๆออกมาได้อย่างดีเลยทีเดียว ซึ่งในหนังที่เราจะพาทุกคนไปดูกันวันนี้ จริงๆแล้วมันเป็นหนังฟอร์มที่ต้องการนำเสนอในโรงภาพยนตร์เท่านั้น แต่เนื่องจากติดสถานการณ์โควิด-19 จึงทำให้ต้องเปลี่ยนแผนมาลงใน Netflix แทน และในวันนี้เราจะพาทุกคนมารับชม รีวิว Time to Hunt (ถึงเวลาล่า) ไปกับหนังเกาหลีแนวอาชญากรรมกันเลยดีกว่า ชื่อเรื่อง : “Time to Hunt” (ถึงเวลาล่า) แนว : อาชญากรรม นักแสดง : Lee Je-hoon, Ahn Jae-hong, Choi Woo-shik, Park Jung-min บทภาพยนตร์ : Yoon Sung-hyun ผู้กำกับ : Yoon Sung-hyun ค่าย : Netflix วันฉาย : 23 เมษายน 2020 เวลา : 2 ชั่วโมง 14 นาที IMDb : 6.2 เรื่องย่อ เรื่องราวของประเทศเกาหลีที่เรียกได้ว่าเข้าสู่ยุคมืด เศรษฐกิจตกต่ำจนถึงขีดสุด เงินวอนที่เป็นหน่วยเงินของประเทศเกาหลีกลับไม่มีค่าอีกต่อไป บรรดาบ้านเมืองที่เคยมีสีสันก็กลับเป็นสลัมดีๆนั่นเอง นั่นทำให้ “จุนซอก” (รับบทโดย Lee Je-hoon) ที่เพิ่งถูกปล่อยตัวออกมาจากเรือนจำ เขาเล็งเห็นถึงหนทางที่จะทำให้ชีวิตของเขาดีขึ้นได้ โดยการออกไปจากเมืองที่เขาอยู่นี้ แต่ประเด็นหลักๆเลยคือเขาไม่มีเงิน เขาจึงไปชวน “จางโฮ” (รับบทโดย Ahn Jae-hong), “กีฮุน” (รับบทโดย Choi Woo-shik) และ “ซังซู” (รับบทโดย Choi Woo-shik) บรรดาเพื่อนสนิทของเขาไปทำการปล้นบ่อนการพนัน เพื่อหวังจะเงินที่ปล้นมานั้นไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เกาะทางตอนใต้ของประเทศไต้หวัน แต่เรื่องราวมันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เพราะมันมีคนที่หวังจะเอาชีวิตของพวกเขาทั้ง 4 คนอยู่ ซึ่งพวกเขาจะสามารถหนีตายได้หรือไม่ ต้องไปรับชมกันเลย รีวิว Time to Hunt (ถึงเวลาล่า) หลายๆคนคงจะคุ้นหน้าคุ้นตาตัวนักแสดงอย่าง “Choi Woo-shik” เป็นอย่างดี ในหนังเกาหลีเรื่อง “Parasite” ที่เป็นลูกชายคนโตของครอบครัวคนจนที่เป็นตัวเอกของเรื่องนั่นเอง และในวันนี้เขากลับมาอีกครั้งในหนังเรื่องนี้ ที่ต้องบอกเลยว่าหนังเรื่องนี้คุณภาพระดับ HDR ที่ไม่ได้ไก่กาอาราเล่เลยนะ อีกทั้งหนังยังมีฉากแอคชั่นไล่ฆ่า ยิงกันถล่มทลายทั้งเรื่อง แล้วตัวหนังเองยังมีการสอดแทรกเรื่องราวของมิตรภาพระหว่างเพื่อนเอาไว้อย่างชัดเจนมากเลยทีเดียว ถึงแม้มันจะมีช่วงยืดเยื้อไปบ้างนิดหน่อย แต่มันก็ไม่ได้เยอะมากจนทำให้น่าเบื่อเลย แต่เราว่ามันเสียแค่อย่างเดียวนั่นก็คือ ในส่วนของเนื้อเรื่องมีการตัดตัวละครบางตัวออกไป แบบไม่ได้กล่าวถึงอีกเลย มันทำให้เราสงสัยกันว่า มันเกิดอะไรขึ้นกับตัวละครตัวนั้นกันแน่ แต่รวมๆ ถ้าดูฉากแอคชั่นมันส์ ดูแบบไม่ได้ติดใจกับเนื้อเรื่องอะไรมากนัก หนังเรื่องนี้ก็ถือว่าทำได้ดีพอสมควรเลย ตัวอย่าง หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนัง Netflix เรื่องอื่นๆ เช่น รีวิว Pandora หนังแนวภัยพิบัติคุณภาพดีที่ควรค่าแก่การเสียเวลาดูเป็นอย่างมาก ได้อีกที่ filmograd.net ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก Ufa369
จะว่าไปวงการหนังหรือซี่รี่ย์สัญชาติเกาหลีไม่ได้มีดีแค่หนังซอมบี้หรือซีรี่ย์รักโรแมนติกเท่านั้นหรอกนะ เพราะวันนี้เราไปค้นพบหนังเกาหลีดีๆเรื่องหนึ่งใน Netflix มา ซึ่งมันจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับภัยพิบัติที่เกิดขึ้น เอาเป็นว่าเราไม่รอช้า ไปรับชม รีวิว Pandora กันเลยดีกว่า ชื่อเรื่อง : “Pandora” แนว : ภัยพิบัติ นักแสดง : Kim Nam-gil, Kim Ju-hyeon, Kim Myung-min, Lee Geung-young, Kim Dae-myung, Jung Jin-young บทภาพยนตร์ : Park Jung-woo ผู้กำกับ : Park Jung-woo ค่าย : Next Entertainment World วันฉาย : 07 ธันวาคม 2016 เวลา : 2 ชั่วโมง 16 นาที IMDb : 6.7 เรื่องย่อ เรื่องราวของ “แจฮยอก” (รับบทโดย Kim Nam-gil) ชายหนุ่มผู้ขี้ขลาดของครอบครัว เขาได้ทำงานเป็นวิศวกรซ่อมบำรุงที่โรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งหนึ่งในเกาหลีที่ถูกสร้างขึ้นมาแล้วกว่า 40 ปีแล้ว ถึงแม้แจฮยอกจะเติบโตและทำงานให้กับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งนี้ที่เป็นสาเหตุให้พ่อและพี่ชายของเขาต้องเสียชีวิตจากการที่รังสีรั่วไหล เขาเองก็ยังมีท่าทีต่อต้านโรงงานไฟฟ้าแห่งนี้ไปในตัว จนในวันหนึ่งได้เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 6.1 ริกเตอร์ขึ้นที่เมืองที่พวกเขาอาศัยอยู่ นั่นทำให้โรงงานไฟฟ้าแห่งนี้ที่ถูกออกแบบมาเพื่อรับมือกับภัยพิบัติเกิดรอยรั่วรอยแตกขึ้น เพราะมันผ่านการทำงานมากว่า 40 ปีแล้ว จนในที่สุดเตาปฎิกรณ์ของโรงงานแห่งนี้ก็เริ่มระเบิดขึ้นมา ส่งผลให้เกิดการกระจายของรังสีโดยรอบกว่า 20 กิโลเมตรและยังมีแนวโน้มว่าจะกระจายออกไปเรื่อยๆอีกด้วย นั่นทำให้แจฮยอกและเพื่อนๆในทีมของเขาอาสาสมัครเป็นหน่วยกล้าตายเข้าไปยังโรงงานแห่งนี้เพื่อควบคุมสถานการณ์ดังกล่าวให้ได้ รีวิว Pandora หนังเรื่องนี้เราเห็นมันขึ้นให้ดูใน Netflix มานานมากแล้วล่ะ แต่ไม่เคยคิดจะเข้าไปดูเลยสักครั้ง ทุกวันนี้ยังคิดอยู่เลยว่าทำไมถึงไม่เข้าไปดูสักที เพราะหนังเรื่องนี้มันคือดีงามมากๆอ่ะ โดยตัวหนังจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับภัยพิบัติจากโรงงานนิวเคลียร์ในเกาหลีที่เกิดอาการผุพังไปตามกาลเวลา เรียกได้ว่าหนังเรื่องนี้เป็น 2 ชั่วโมงกว่าที่คุ้มค่ามากๆ เพราะมันมีการเดินเรื่องได้อย่างรวดเร็ว กระชับ ไม่มีช่วงไหนของเรื่องเลยที่ทำให้เรารู้สึกง่วง อยากจะหลับ มันจะมีแต่ช่วงที่พาให้เราดราม่าและกดดันได้ตลอดทั้งเรื่องเลยทีเดียว ในช่วงแรกๆของหนังเรื่องนี้จะมีการเน้นไปที่เรื่องราวของความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ซะเป็นส่วนใหญ่เลย ไม่เว้นแม้กระทั่งผู้นำของประเทศเองที่กลัวแต่เรื่องผลกระทบที่อาจจะตามมาหากข่าวนี้หลุดออกไป นั่นทำให้เรื่องราวมันยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ เราต้องบอกก่อนเลยว่า เราไม่ได้ร้องไห้กับหนังมานานมากแล้ว แต่หนังเรื่องนี้มันทำเอาเราอินจนร้องไห้หมดไปเป็นปี๊ปเลย เอาเป็นว่าสำหรับใครที่ยังไม่เคยดูหนังเรื่องนี้ เราแนะนำว่าคุณควรไปหามาดูเป็นอย่างมาก คือตัวหนังเรื่องนี้มันอาจจะไม่ได้ให้อารมณ์ฟีลกู๊ดอะไรกับคุณหรอกนะ แต่ต้องยอมรับเลยว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังน้ำดี มีคุณภาพเรื่องหนึ่งเลย ตัวอย่าง หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนังต่างประเทศเรื่องอื่นๆ เช่น ชาร์ลี แชปลิน คนที่สองในโลกที่ตัวจริงยังต้องยอมรับในฝีมือของเขาเลยทีเดียว ได้อีกที่ filmograd.net ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก Ufabet72