รีวิว คุณพ่อตัวสำรอง (You’ve Got This) กับความขัดแย้งทางความคิดในครอบครัว

หากจะพูดหนังจากสัญชาติเม็กซิโกนั้น ก็ต้องบอกเลยว่าเดี๋ยวนี้เขาสามารถสร้างหนังออกมาตีตลาดและทำชื่อเสียงได้หลายเรื่องเลยทีเดียว ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็เป็นหนังที่สามารถดูได้แบบง่ายๆ เข้าถึงได้อย่างหลากหลายช่วงวัย และในวันนี้แอดจะพาทุกคนมาดูหนังของประเทศนี้กันอีกเรื่องกับ รีวิว คุณพ่อตัวสำรอง (You’ve Got This) กันเลย ชื่อเรื่อง : “คุณพ่อตัวสำรอง” (You’ve Got This) แนว : โรแมนติก คอมเมดี้ นักแสดง : Tato Alexander, Moisés Arizmendi, Fernando Becerril บทภาพยนตร์ : Tiaré Scanda, Leonardo Zimbrón ผู้กำกับ : Salvador Espinosa ค่าย : Netflix วันฉาย : 02 ตุลาคม 2020 เวลา : 01 ชั่วโมง 51 นาที IMDb : 5.6 (จาก 437 โหวต) เรื่องย่อ เรื่องราวของ “อเลฮานโดร” (รับบทโดย Moisés Arizmendi) หนุ่มครีเอทีฟและ “ซิเซเลีย” (รับบทโดย Tato Alexander) สาวสวยที่กำลังประสบความสำเร็จ โดยทั้งคู่ได้แต่งงานและอยู่ด้วยกันมา 7 ปีแล้ว ซึ่งพวกเขาได้ใช้ชีวิตคู่กับอย่างหวานชื่นมาเสมอ จนในวันหนึ่งอเลฮานโดรก็อยากเป็นพ่อคนขึ้นมา จึงได้ชวนซิเซเลียมีลูกด้วยกัน แต่เนื่องจากซิเซเลียกำลังจะประสบความสำเร็จในด้านการงาน เธอจึงยังไม่อยากมีลูกมาขัดขวางความสำเร็จของเธอ อีกทั้งเธอยังไม่เคยคิดว่าอยากจะมีลูกด้วยซ้ำ แต่แล้วก็เหมือนฟ้าจะเล่นตลกกับเขา เพราะอเลฮานโดรดันไปรับปากสาวเสิร์ฟในบาร์แห่งหนึ่ง ว่าจะดูแลลูกของเธอให้ 3 วัน เพราะเธอต้องไปทำธุระที่อื่น นั่นทำให้อเลฮานโดรต้องรับบทเป็นคุณพ่อโดยจำเป็นไปในทันที แต่ในขณะเดียวกันนั้นเขาก็มีปัญหากับซิเซเลีย ในเรื่องของความคิดที่ไม่ตรงกันอีกด้วย รีวิว คุณพ่อตัวสำรอง (You’ve Got This) หนังเรื่องนี้นั้นเน้นไปที่เรื่องราวของความขัดแย้งทางความคิดของคู่รักเป็นหลักในเรื่องของการมีลูก ซึ่งจะเห็นได้ชัดจากสังคมในสมัยนี้ที่มีอยู่มากพอสมควรเลยทีเดียว ซึ่งในส่วนของการเล่าเรื่องนั้นก็ถือได้ว่าสมเหตุสมผล เหมือนเราเข้าไปนั่งอยู่ในตัวของนักแสดงหลักเลย เพราะว่านักแสดงหลักทั้ง 2 คนสามารถเล่นเข้าขากันได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว โดยรวมแล้วหนังเรื่องนี้เราสามารถนั่งดูมันได้แบบเพลินๆ ก็น่ารักไปอีกแบบ ตัวอย่าง หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนัง Netflix เรื่องอื่นๆ เช่น รีวิว ครอบครัวข้างบ้าน (American Murder: The Family Next Door) ได้อีกที่ filmograd.net

รีวิว เฟคซูสู้เว้ย! (Secret Zoo) หนังที่ผสมผสานสาระและความฮาได้อย่างแนบเนียน

สำหรับใครที่กำลังมองหาหนังเบาๆสบายสมอง แต่ก็ยังแอบแฝงไปด้วยความตลกนั้น แอดขอแนะนำให้ดู รีวิว เฟคซูสู้เว้ย! (Secret Zoo) เรื่องนี้เลย โดยหนังเรื่องนี้นั้นมีเค้าโครงเรื่องมาจาก Webtoon เรื่อง “I Don’t Bully You” ที่เขียนโดย Hun อีกด้วย อีกทั้งหนังเรื่องนี้ยังถือได้ว่าเป็นหนังยอดฮิตที่ขึ้นชาร์จอันดับ 1 ของเกาหลีได้อย่างเต็มภาคภูมิเลยทีเดียว เอาเป็นว่าเราได้ดูกันเลยดีกว่าว่ามันจะเป็นยังไงกันบ้าง ชื่อเรื่อง : “Secret Zoo” (เฟคซูสู้เว้ย!) แนว : คอมเมดี้ นักแสดง : Ahn Jae-hong, Kang So-ra, Park Yeong-gyu, Kim Sung-oh, Jeon Yeo-been บทภาพยนตร์ : Son Jae-gon, Lee Yong-jae, Kim Dae-woo ผู้กำกับ : Son Jae-gon ค่าย : Acemaker Movieworks วันฉาย : 15 มกราคม 2020 เวลา : 01 ชั่วโมง 57 นาที IMDb : 6.2 (จาก 610 โหวต) เรื่องย่อ เรื่องราวของ “คังแทซู” (รับบทโดย Ahn Jae-hong) ทนายน้องใหม่ของบริษัทที่ปรึกษาทางกฏหมายชื่อดังของเกาหลีใต้ โดยแทซูต้องการที่จะก้าวหน้าในหน้าที่การงานของตนเอง หวังเพื่อขึ้นเป็นพนักงานประจำของบริษัทให้ได้ จนในวันหนึ่งโอกาสของเขาก็มาถึง ในเมื่อหัวหน้าของเขามอบหมายงานให้เขาเพื่อพิสูจน์ตนเอง โดยเขาต้องไปบริหารฟื้นฟูสวนสัตว์ที่กำลังจะเจ๊งให้กลับมามีมูลค่ามากกว่าเดิมให้ได้ภายใน 3 เดือนนี้ แต่เมื่อแทซูไปถึงสวนสัตว์แล้วกลับพบว่ามีเพียงหมีขั้วโลกตัวเดียวและพนักงานอีก 4 คนเท่านั้นที่ยังอยู่ที่สวนสัตว์แห่งนี้ แต่ในเมื่อสวนสัตว์มันไม่มีสัตว์ให้ลูกค้ามารับชม แทซูจึงคิดแผนการประหลาดๆอย่างให้พนักงานใส่ชุดสัตว์เข้าไปอยู่ในกรง เพื่อตบตาผู้ชมที่ซื้อตั๋วเข้ามารับชมสัตว์นั่นเอง รีวิว เฟคซูสู้เว้ย! (Secret Zoo) เริ่มด้วยเรื่องราวของหนังช่วงแรกนั้นมีการปูพื้นฐานของตัวเอกของเราอยู่มากพอควรเลยว่า เขามีพื้นฐานอย่างไร และทำไมถึงได้ตกกระไดพลอยโจรมาเป็นผู้บริหารสวนสัตว์แห่งนี้ได้ เรียกได้ว่าหลังจากที่ผ่านช่วงนั้นมาแล้วเริ่มเข้าสู่การดำเนินการบริหารงานที่สวนสัตว์ของเขาแล้วนั้นมันเต็มไปด้วยความฮาที่แทรกอยู่ทุกหย่อมหญ้าจริงๆ อีกทั้งหนังเรื่องนี้ยังมีการเน้นไปที่เรื่องระบบสิ่งแวดล้อมได้อย่างแนบเนียน ไม่น่าเกลียดจนดูแล้วน่าเบื่อเลย เรียกได้ว่าหนังเรื่องนี้มีทั้งสาระและความฮาผสมกันมาได้อย่างลงตัวเลยทีเดียว ตัวอย่าง หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนังต่างประเทศเรื่องอื่นๆ เช่น รีวิว The Last Summer กับหนังรักที่จะชวนให้คุณคิดถึงวัยเรียนเป็นอย่างมาก ได้อีกที่ filmograd.net

รีวิว Upgrade กับการอัพเกรดร่างกายให้แข็งแกร่งยิ่งกว่าหุ่นยนต์ธรรมดาๆ

ว่าด้วยเรื่องราวของเทคโนโลยีสมัยนี้นี่ล้ำสมัยขึ้นทุกๆวันเลยทีเดียว แถมระบบ AI เองนั้นก็ยังเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของเราเป็นอย่างมาก อย่างในวันนี้แอดจะพาทุกคนมาดูหนังที่มีการนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาฝังเอาไว้ในร่างกายของมนุษย์เพื่อผลประโยชน์อะไรสักอย่างอย่าง รีวิว Upgrade นั่นเอง ชื่อเรื่อง : “Upgrade” แนว : เทคโนโลยีแอคชั่น นักแสดง : Logan Marshall-Green, Betty Gabriel, Harrison Gilbertson บทภาพยนตร์ : Leigh Whannell ผู้กำกับ : Leigh Whannell ค่าย : OTL Releasing, BH Tilt วันฉาย : 01 มิถุนายน 2018 เวลา : 01 ชั่วโมง 40 นาที IMDb : 7.5 (จาก 151,603 โหวต) เรื่องย่อ เรื่องราวของ “เกรย์” (รับบทโดย Logan Marshall-Green) นักซ่อมรถคนหนึ่งที่ภรรยาของเขาถูกร้ายจนเสียชีวิต ส่วนตัวเขาเองนั้นก็พิการจนเป็นอัมพาตทั้งตัว ซึ่งเขาต้องใช้ชีวิตอยู่บนรถเข็นมาโดยตลอด จนในวันหนึ่งเขาจำใจต้องเข้าร่วมการทดลองฝัง “สเต็ม” โปรแกรมคอมพิวพ์ลงบนคอของเขา เพื่อหวังว่าเขาจะสามารถกลับมาเดิน หรือสามารถกลับมาใช้ชีวิตเป็นปกติได้อีกครั้ง แต่หลังจากที่เขาได้ฝังสเต็มลงบนคอแล้วนั้น เรื่องราวมันกลับไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เพราะสเต็มนั้นมันเข้ามาควบคุมร่างกายของเขาได้อย่างเต็มที่ โดยที่เขาไม่สามารถควบคุมร่างกายของตนเองได้เลย อีกทั้งสเต็มที่ฝังอยู่ที่คอของเขานั้นยังสั่งการให้เขาตามหาตัวและล้างแค้นคนที่ฆ่าภรรยาของเขาอีกด้วย รีวิว Upgrade โอ้ย…หนังอย่างดีเลย ฉากแอคชั่นนี่ดุเดือดเลือดพล่านมาก ฉากแอคชั่นนี่แสดงให้เรารู้ได้เลยว่า มันเป็นการสู้ของหุ่นยนต์จริงๆ เพราะการต่อสู้นี้มันไม่ได้มีการเคลื่อนไหวที่เป็นธรรมชาติเหมือนมนุษย์เท่าไรนัก ซึ่งมันเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของหนังเรื่องนี้ที่เรียกได้ว่า เก็บได้ทุกรายละเอียดเลยจริงๆ อีกทั้งพล็อตเรื่องหรือเนื้อเรื่องนั้นยังทำออกมาได้เป็นอย่างดีอีกต่างหาก อย่างในตอนที่เฉลยเบื้องหลังของเรื่องทั้งหมดนี้มันทำให้แอดต้องอุทานว่า “หื้อหือ” ได้เลยจริงๆ แถมหนังเรื่องนี้ยังได้ผู้กำกับอย่าง Leigh Whannell เจ้าของผลงานการกำกับหนังเรื่อง “Saw” มากำกับหนังเรื่องนี้อีกด้วย ตัวอย่าง หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนังต่างประเทศเรื่องอื่นๆ เช่น รีวิว The Last Summer กับหนังรักที่จะชวนให้คุณคิดถึงวัยเรียนเป็นอย่างมาก ได้อีกที่ filmograd.net

รีวิว The Meg (เม็ก โคตรหลามพันล้านปี) กับฉลามยักษ์ในยุคดึกดำบรรพ์

ว่าด้วยเรื่องราวของการต่อสู้กับฉลาม ไม่ว่าจะเป็นการสู้เพื่อเอาชีวิตรอด หรือการสู้เพื่ออะไรก็แล้วแต่ ยังไงแล้วมันก็ยังคงเป็นเรื่องราวที่น่าติดตาม ที่เรียกได้ว่าคลาสสิคตลอดกาลเลยก็ว่าได้ ดังที่เราจะเห็นได้ว่าหนังเรื่องไหนที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับฉลามนี้ มันก็มักจะได้รับความสนใจจากผู้ชมเป็นจำนวนมาก ซึ่งในวันนี้แอดจะพาทุกคนมาดูเรื่องราวชวนตื่นเต้นไปกับ รีวิว The Meg (เม็ก โคตรหลามพันล้านปี) กันเลย ชื่อเรื่อง : “The Meg” (เม็ก โคตรหลามพันล้านปี) แนว : แอคชั่นตื่นเต้นเร้าใจ นักแสดง : Jason Statham, Li Bingbing, Rainn Wilson, Ruby Rose, Winston Chao, Cliff Curtis บทภาพยนตร์ : Dean Georgaris, Jon Hoeber, Erich Hoeber ผู้กำกับ : Jon Turteltaub ค่าย : Warner Bros. Pictures วันฉาย : 10 สิงหาคม 2018 เวลา : 01 ชั่วโมง 58 นาที IMDb : 5.6 (จากทั้งหมด 145241 โหวต) เรื่องย่อ เรื่องราวของมหาเศรษฐีคนหนึ่งที่เอาเงินมาลงทุนสร้าง Mana One (ศูนย์สำรวจโลกใต้ทะเลลึก) ที่ประเทศจีน โดยทาง Mana One ได้มีการส่งเรือดำน้ำไปพร้อมกับลูกเรือไปเพื่อสำรวจใต้มหาสมุทร นั่นทำให้พวกเขาค้นพบได้ว่า โลกใต้มหาสมุทรนั้นยังมีสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาดมากมาย รวมไปถึง “แม็กกาโลดอน” ฉลามยักษ์ที่มีความเชื่อว่ามันสูญพันธ์ไปแล้วกว่า 2 ล้านปีอีกด้วย ซึ่งการส่งเรือดำน้ำลงไปในครั้งนั้นเรือดำน้ำนั้นได้ถูกโจมตีจากฉลามยักษ์จนเสียหาย ทำให้พวกลูกเรือที่อยู่ในนั้นไม่สามารถกลับขึ้นมาได้ เดือดร้อนถึง “โจนาส เทย์เลอร์” (รับบทโดย Jason Statham) ที่ต้องมาช่วยเหลือลูกเรือที่ยังติดอยู่ในเรือนั่นเอง แต่การที่พวกเขาทั้งหมดได้ลุกล้ำเข้าไปยังถิ่นของฉลามยักษ์นั้น มันเหมือนเป็นการเปิดทางให้เจ้าฉลามยักษ์ได้ออกมาสู่เบื้องบนอีกครั้ง รีวิว The Meg (เม็ก โคตรหลามพันล้านปี) สำหรับหนังเรื่องนี้มีการใช้ฉลามยักษ์เป็นจุดขายของเรื่องเลย เรียกได้ว่ามันน่าสนใจเป็นอย่างมาก ยังไงแล้วส่วนตัวแอดเองก็ยังคงชอบหนังสไตล์แบบนี้อยู่เสมอมา ไม่ว่าหนังเรื่องไหนที่เกี่ยวฉลามเข้าฉายนะ แอดไม่เคยพลาดที่จะเข้าไปรับชมเลย โดยพล็อตเรื่องของหนังเรื่องนี้เริ่มแรกเลยก็คงจะเหมือนหนังฮีโร่ทั่วๆไป ประมาณว่าเล่าเรื่องราวในอดีตที่เป็นสาเหตุทำให้พระเอกของรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต จนต้องหลบหนีไปใช้ชีวิตแบบสัมเรเทเมาไปเรื่อย จนในวันหนึ่งเขาก็ต้องกลับมารับบทเป็นฮีโร่อีกครั้งเมื่อสังคมต้องการ ฮ่าๆ เอาเป็นว่าสำหรับหนังเรื่องนี้แอดชอบนะ เพราะหนังเดินเรื่องได้อย่างรวดเร็ว ไม่มีพิธีรีตรองอะไรทั้งสิ้น แถมฉากแอคชั่นที่ต่อสู้กับฉลามนั้นยังสามารถทำออกมาได้เป็นอย่างดีอีกด้วย แอดนี่แอบลุ้นตามไปทุกฉากเลยจริงๆ ตัวอย่าง หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนังต่างประเทศเรื่องอื่นๆ เช่น รีวิว Vampires VS The Bronx (แวมไพร์ บุกบรองซ์) หนังเด็กที่ต้องมาสู้กับแวมไพร์ ได้อีกที่ filmograd.net

รีวิว Fantasy Island (เกาะสวรรค์ เกมนรก) กับหนังที่ไปไม่สุดเลยสักทาง

หลายๆคนคงจะคุ้นชินกับเรื่องราวของ “เกาะสวรรค์” ที่เบื้องหลังมันไม่ได้สุขสบายอย่างที่ทุกคนคิดกันมาบ้างแล้วใช่ไหม? เพราะจริงๆแล้วเรื่องราวประเภทนี้มันมีกระแสมานานมากแล้วแหละ แต่เพียงกระแสมันค่อนข้างที่จะเงียบไปเมื่อหลายปีที่แล้ว ซึ่งในวันนี้แอดจะพาทุกคนมาหวนไปนึกถึงความหลังกันกับ รีวิว Fantasy Island (เกาะสวรรค์ เกมนรก) กันเลย ชื่อเรื่อง : “Fantasy Island” (เกาะสวรรค์ เกมนรก) แนว : สยองขวัญเหนือธรรมชาติ นักแสดง : Michael Peña, Maggie Q, Lucy Hale, Austin Stowell, Portia Doubleday, Jimmy O. Yang, Ryan Hansen, Michael Rooker บทภาพยนตร์ : Jeff Wadlow, Chris Roach, Jillian Jacobs ผู้กำกับ : Jeff Wadlow ค่าย : Sony Pictures Releasing วันฉาย : 14 กุมภาพันธ์ 2020 เวลา : 01 ชั่วโมง 49 นาที IMDb : 4.9 เรื่องย่อ เรื่องราวของกลุ่มผู้โชคดีกลุ่มหนึ่งที่ชนะเกมชิงรางวัล และได้รับรางวัลเป็นที่พักและการใช้ชีวิตบนเกาะลึกลับแห่งหนึ่งที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเกาะสวรรค์ดีๆนี่เอง ซึ่งพวกเขาทุกคนนั้นสามารถที่สามารถที่จะขอพรได้คนละ 1 ข้อ เพื่อบรรลุความปารถนาของตัวเองให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขความผิดพลาดในอดีต หรือแม้แต่การแก้แค้นจากอะไรก็แล้วแต่ เพียงแต่การขอพรนั้นอาจจะแลกมาด้วยชีวิตของพวกเขาเองก็เป็นได้ รีวิว Fantasy Island เอาจริงๆกับพล็อตหนังเรื่องนี้แอดว่ามันเป็นพล็อตเรื่องที่โอเคในระดับหนึ่งเลยนะ แต่เพียงแอดรู้สึกว่ามันยังไม่ค่อยสุดสักเท่าไร เพราะเนื้อเรื่องมันสามารถที่จะแตกแขนง หรือเล่าขยายออกไปได้มากกว่านี้อีกเยอะเลย ซึ่งจริงๆแล้วแนวของหนังเรื่องนี้อย่างที่เราเห็นจากเรื่องย่อแล้ว หลายๆคนก็คงคิดว่ามันน่าจะเป็นหนังแนวเอาตัวรอด และหวังว่าจะมีฉากไล่ฆ่าที่มันดุเดือดหน่อยใช่ไหม แอดต้องขอบอกว่าหนังเรื่องนี้มันอาจจะไม่ได้มีมีอะไรแบบนั้นสักเท่าไร อีกทั้งการเล่าเรื่องยังออกจะสะเปะสะปะ ไปเรื่องโน้นที เรื่องนี้ที เรียกได้ว่าเป็นการเล่าเรื่องที่ทำให้คนดูอย่างเราเบื่อได้เลยล่ะ แล้วไหนจะความอึดอัดตามนักแสดงที่ดูแล้วรู้สึกเหมือนมันไม่ค่อยเป็นธรรมชาติเท่าที่ควรเลย ตัวอย่าง หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนังต่างประเทศเรื่องอื่นๆ เช่น รีวิว Johnny English Strikes Again กับการกลับมาของสายลับรุ่นใหญ่ ได้อีกที่ filmograd.net

รีวิว ครอบครัวข้างบ้าน (American Murder: The Family Next Door)

ในยุคสมัยแบบนี้การหยิบยกเรื่องราวในชีวิตจริงของใครสักคน แล้วเอามาเล่าในรูปแบบของหนังที่ทำเป็นสารคดีกำลังเป็นที่นิยมเป็นอย่างมากเลย โดยเรื่องที่ถูกพูดถึงเป็นอย่างมากเมื่อเร็วๆนี้เอง ก็คงหนีไม่พ้นสารคดีที่เกี่ยวกับการแช่แข็งลูกสาวที่เสียชีวิตไปก่อนเวลาอันควรอย่าง “Hope Frozen” (ความหวังแช่แข็ง: ขอเกิดอีกครั้ง 2018) นั่นเอง แต่วันนี้แอดจะพาทุกคนมาดูสารคดีเรื่องอีกเรื่องหนึ่งอย่าง รีวิว ครอบครัวข้างบ้าน (American Murder: The Family Next Door) กันเลยดีกว่า ชื่อเรื่อง : “ครอบครัวข้างบ้าน” (American Murder: The Family Next Door) แนว : สารคดี ผู้กำกับ : Jenny Popplewell ค่าย : Netflix วันฉาย : 30 กันยายน 2020 เวลา : 01 ชั่วโมง 22 นาที IMDb : 7.2 เรื่องย่อ สารคดีเรื่องนี้จะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับคดีอาชญากรรมสุดสะเทือนขวัญเมื่อปี 2018 ที่ผ่านมา เมื่อหญิงสาวในครอบครัวหนึ่งที่กำลังตั้งท้องค้นพบว่าลูกสาววัยเด็กทั้ง 2 คนของเธอได้หายตัวไปจากบ้านอย่างไร้ร่องรอย อีกทั้งสามีของเธอก็ตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีดังกล่าวนี้ เรื่องราวมันยิ่งยากขึ้นไปอีกเมื่อคนที่ทำจริงๆนั้นมีการปิดบังอำพรางคดีได้อย่างดีเยี่ยม รีวิว ครอบครัวข้างบ้าน (American Murder: The Family Next Door) ต้องบอกก่อนเลยว่า สารคดีเรื่องนี้ไม่ได้ให้ความรู้สึกที่อบอวล หรือเต็มไปด้วยความรักอย่างเรื่อง Hope Frozen หรอกนะ แต่ออกจะเป็นสารคดีที่เจาะลึกไปที่เรื่องราวของคดีอาชญากรรมสะเทือนขวัญซะมากกว่า กับเรื่องราวของครอบครัวที่ภายนอกดูเหมือนจะดีไปหมดทุกอย่าง แต่ความจริงแล้วมันจะอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่ทุกคนเห็นก็เป็นได้ ซึ่งเรื่องนี้มันสอนให้เรารับรู้ได้ว่า เราไม่ควรมองใครที่ภายนอก หรือดูจากตามสื่อโซเชียลได้เลย เพราะเรื่องแบบนี้มันเป็นอะไรที่ใครก็สามารถแสดงออกมาให้ดูดีได้กันทั้งนั้น โดยสารคดีเรื่องนี้ได้ใช้ลำดับการเล่าเรื่องได้เหมือนกับเราดูหนังปกติทั่วไปเรื่องหนึ่งเลย อีกทั้งสารคดีเรื่องนี้ยังใช้เรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงมาเล่าให้ผู้ชมอย่างเรารับชม โดยที่ไม่มีการสร้างเหตุการณ์จำลองเลยด้วย แต่ด้วยความที่เอาเรื่องจริงมาเล่าทั้งหมดโดยที่ไม่มีการจำลองเหตุการณ์เลย มันก็อาจจะส่งผลให้ผู้ชมอย่างเราอาจจะเห็นภาพไม่ค่อยชัดเจนสักเท่าไร ตัวอย่าง หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนัง Netflix เรื่องอื่นๆ เช่น รีวิว Hubie Halloween (ฮูบี้ ฮาโลวีน) ไปกับการสุขสันต์วันปล่อยผี ได้อีกที่ filmograd.net

รีวิว The Last Summer กับหนังรักที่จะชวนให้คุณคิดถึงวัยเรียนเป็นอย่างมาก

เคยเป็นกันไหม? ที่อยู่ดีๆบางทีเราก็อดคิดถึงเรื่องราวในสมัยเรียนเป็นไม่ได้ เรียกได้ว่าช่วงนั้นเป็นวัยที่เราสามารถสนุกสุดเหวี่ยงกันได้แบบเต็มที่ โดยไม่ต้องมานั่งคิดอะไรมากมายเลย และในวันนี้เราจะพาทุกคนมาหวนรำลึกถึงอดีตที่หอมหวานกันอีกครั้งใน รีวิว The Last Summer หนังที่ให้ข้อคิดกับเราในเรื่องของเวลาได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว เพราะเวลามันเป็นอะไรที่ผ่านไปเร็วมาก และมันก็ยังเป็นสิ่งที่เราก็ไม่สามารถที่จะย้อนกลับไปแก้ไขหรือทำอะไรกับมันได้อีกต่อไป ชื่อเรื่อง : “The Last Summer” แนว : โรแมนติก นักแสดง : KJ Apa, Maia Mitchell, Jacob Latimore, Halston Sage, Sosie Bacon, Wolfgang Novogratz, Gabrielle Anwar, Ed Quinn, Jacob McCarth, Mario Revolori, Gage Golightly, Norman Johnson, Jr., Tyler Posey บทภาพยนตร์ : Scott Bindley, William Bindley ผู้กำกับ : William Bindley ค่าย : Netflix วันฉาย : 03 พฤษภาคม 2019 เวลา : 01 ชั่วโมง 50 นาที IMDb : 5.6 เรื่องย่อ เรื่องราวของเหล่าวัยรุ่นที่เพิ่งจบมัธยมปลายที่ต้องแยกย้ายกันไปใช้ชีวิตของตัวเองในฤดูร้อนสุดท้าย เพื่ออำลาช่วงชีวิตวัยรุ่น ก่อนที่พวกเขาจะต้องไปเริ่มต้นใช้ชีวิตแบบผู้ใหญ่กันต่อไปในมหาวิทยาลัยนั่นเอง แต่เรื่องราววุ่นวายต่างๆก็ได้เข้ามาปั่นป่วน ชวนให้ชีวิตพวกเขาต้องตัดสินใจอะไรหลายๆอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวของการพบเจอความรัก ความผิดหวัง หรือแม้แต่เรื่องราวของความสัมพันธ์ในครอบครัวก็ตาม ซึ่งพวกเขาจะสามารถผ่านฤดูร้อนนี้ไปได้อย่างไร ต้องไปติดตามรับชมกันต่อในหนังได้เลย รีวิว The Last Summer สำหรับหนังเรื่องนี้ถ้าหากใครที่ชอบแนวการเดินเรื่องแบบเรื่อยๆเพื่อตามติดชีวิตใครสักคน หนังเรื่องนี้อาจจะเหมาะกับคุณ แต่ถ้าหากใครไม่ชอบการเดินเรื่องแบบเรื่อยๆแล้วมาดูหนังเรื่องนี้ คุณอาจจะเบื่อก็เป็นได้ ซึ่งจริงๆแล้วหนังเรื่องนี้สามารถแสดงออกมาให้เราหวนไปนึกถึงชีวิตในวัยเรียน ที่เป็นวัยที่เราได้ใช้ชีวิตได้อย่างสนุกสุดเหวี่ยงได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว อีกทั้งหนังเรื่องนี้ยังมีนักแสดงเยอะมากๆอีกด้วย แต่ด้วยความที่นักแสดงเยอะนี้กลับไม่มีนักแสดงคนไหนที่ถูกใช้แบบทิ้งขว้างเลย เพราะหนังเรื่องนี้ได้มีการโฟกัสไปที่ตัวละครทุกตัว หรือที่เรียกได้ว่าให้ความสำคัญกับทุกตัวละครเลยทีเดียว ตัวอย่าง หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนัง Netflix เรื่องอื่นๆ เช่น รีวิวหนัง “A Christmas Prince” (เจ้าชายคริสต์มาส) กับหนังน่ารักๆอีกหนึ่งเรื่อง ได้อีกที่ filmograd.net

รีวิว Vampires VS The Bronx (แวมไพร์ บุกบรองซ์) หนังเด็กที่ต้องมาสู้กับแวมไพร์

ถ้าหากคุณกำลังมองหาหนังที่ดูเพื่อผ่อนคลาย ไม่ต้องคิดอะไรมากไปกว่าเดิมนั้น แอดต้องขอแนะนำให้คุณดู รีวิว Vampires VS The Bronx (แวมไพร์ บุกบรองซ์) หนังเรื่องนี้เลย โดยหนังเรื่องนี้มันจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับแวมไพร์บุกเมือง ที่คุณสามารถรับชมไปพร้อมกับลูกๆหลานๆได้เลย เพราะมันเป็นหนังที่เบาสมองมากๆ และยังเป็นแนวที่เด็กๆน่าจะชอบกันเลยแหละ ชื่อเรื่อง : “Vampires VS. The Bronx” (แวมไพร์ บุกบรองซ์) แนว : คอมเมดี้ สยองขวัญ นักแสดง : Jaden Michael, Gerald W. Jones III, Gregory Diaz IV, Coco Jones บทภาพยนตร์ : Oz Rodriguez, Blaise Hemingway ผู้กำกับ : Oz Rodriguez ค่าย : Netflix วันฉาย : 02 ตุลาคม 2020 เวลา : 01 ชั่วโมง 26 นาที IMDb : 5.2 เรื่องย่อ เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นในย่านบรองซ์ ที่ซึ่งเป็นถิ่นเสื่อมโทรมของคนผิวสีที่อาศัยอยู่รวมกัน เป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยสิ่งไม่ดีทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นการค้ายา หรือการปล้นจี้ต่างๆ แต่ถึงแม้จะเป็นถิ่นที่ขึ้นชื่อว่าเสื่อมโทรมนั้น ผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองนี้ก็ยังคงรักเมืองที่พวกเขาอยู่กันเป็นอย่างมาก โดยในวันหนึ่งได้มีนายทุนผิวขาวเข้ามาทำการขว้านซื้อกิจการร้านค้าหรือแม้แต่บ้านที่อยู่อาศัยในเมืองนี้มากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อเอาไปสร้างกิจการใหญ่ๆนั่นเอง แต่ความจริงแล้วในการซื้อขายครั้งนี้กลับมีความลับบางอย่างซ่อนอยู่ ซึ่งผู้ที่ค้นพบความลับนี้เป็นเพียงเด็กหนุ่ม 3 คนอย่าง “มิเกล” (รับบทโดย Jaden Michael), “หลุยส์” (รับบทโดย Gregory Diaz IV) และ “บ็อบบี้” (รับบทโดย Gerald W. Jones III) เท่านั้น พวกเขาจึงต้องลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อนำความสงบสุขกลับมาสู่เมืองที่พวกเขาอยู่อีกครั้ง รีวิว Vampires VS The Bronx (แวมไพร์ บุกบรองซ์) สำหรับหนังเรื่องนี้ต้องเรียกได้ว่า เป็นหนังที่น่าจะผลิตออกมาให้เด็กๆรับชม เพราะเนื้อเรื่องประมาณนี้แอดคิดว่าเด็กๆน่าจะชอบ เพราะเนื้อเรื่องมันไม่ได้หนักอะไรมากมาย ไม่มีฉากที่น่ากลัวเลือดสาดมากเท่าไรนัก อีกทั้งยังมีการเดินเรื่องได้อย่างรวดเร็ว ไม่ยืดเยื้อ แต่ถ้าหากผู้ใหญ่อย่างเราต้องการที่จะรับชมหนังเรื่องนี้ คือมันก็เป็นหนังที่สามารถดูได้แบบเพลินๆ แต่ถ้าหากคุณคาดหวังให้หนังเรื่องนี้มันมีเนื้อเรื่อง การเล่าเรื่องที่แปลกใหม่ หรือตื่นเต้นเร้าใจ หนังเรื่องนี้ก็อาจจะยังไม่ตอบโจทย์คุณสักเท่าไร ตัวอย่าง หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนัง Netflix เรื่องอื่นๆ เช่น รีวิว The Princess Switch (สลับตัว ไม่สลับหัวใจ) กับเรื่องราวน่ารักๆสบายสมอง ได้อีกที่ filmograd.net

รีวิว The Binding (พันธนาการมืด) กับการบอกเล่าเรื่องราวไสยศาสตร์จากอิตาลี

ว่ากันด้วยเรื่องของไสยศาสตร์ หรือเรื่องราวความเชื่อต่างๆนั้นก็คงต้องยกให้ประเทศไทยเราเลย แต่ในวันนี้แอดจะพาทุกคนมาดำดิ่งไปกับเรื่องราวไสยศาสตร์ของประเทศอิตาลีกันดูว่า มันจะเป็นยังไง และจะแปลกแตกต่างไปจากบ้านเรามากน้อยแค่ไหนกันแน่? ใน รีวิว The Binding (พันธนาการมืด) ชื่อเรื่อง : “The Binding” (พันธนาการมืด) แนว : สยองขวัญ นักแสดง : ริคคาร์โด สกามาร์ซิโอ, มีอา มาเอสโตร บทภาพยนตร์ : ดาเนียล คอสซี, โดเมนิโก้ เดอ เฟาดิส ผู้กำกับ : โดเมนิโก้ เดอ เฟาดิส ค่าย : Netflix เวลา : 01 ชั่วโมง 33 นาที IMDb : 4.7 เรื่องย่อ เรื่องราวของ “เอ็มม่า” หญิงสาวแม่ม่ายลูกติดคนหนึ่งที่มีชื่อว่า “โซเฟีย” ซึ่งเธอนั้นได้พบรักกับ “ฟรานซิสโก้” ชายหนุ่มคนหนึ่ง โดยเอ็มม่าและฟราซิสโก้ได้วางแผนเอาไว้ว่าจะแต่งงานกันในระยะเวลาอันใกล้นี้ พวกเขาจึงได้วางแผนในการใช้วันหยุด เพื่อเดินทางไปพบกับแม่ของฟราซิสโก้ที่อยู่ทางตอนใต้ของประเทศอิตาลี ซึ่งเมื่อเดินทางไปถึงแล้วเอ็มม่ากลับพบว่าแม่ของชายหนุ่มที่เธอรักมีอะไรแปลกๆไป เหมือนจะเป็นหมอผีก็ไม่เชิง เพราะแม่ของฟราซิสโก้มีการใช้คุณไสยเพื่ออะไรหลายๆอย่างอีกด้วย แต่แล้วก็มีเหตุการณ์แปลกๆเกิดขึ้นกับลูกสาวของเธอเอง โดยเริ่มจากการละเมอลุกขึ้นมาทำร้ายตัวเอง และหลังจากนั้นลูกสาวเธอก็ได้โดนแมงมุมกัด ซึ่งไม่ว่าจะพาไปหาหมอที่ไหนก็ยังไม่ดีขึ้น แถมยังแย่ลงเรื่อยๆอีกต่างหาก นั่นก็เพราะว่าลูกสาวของเธอโดนคุณไสยเล่นงานด้วยการผูกพันธะจากใครสักคนเข้าให้แล้ว รีวิว The Binding” (พันธนาการมืด) หนังเรื่องนี้เริ่มต้นพล็อตเรื่องได้น่าสนใจเป็นอย่างมาก เพราะมันเป็นเนื้อเรื่องที่ค่อนข้างแปลกใหม่ แต่ในส่วนของการเล่าเรื่องนั้นยังไม่ค่อยดีเท่าที่ควร กว่าจะมีการเข้าถึงเนื้อเรื่องจริงๆก็ปาไปครึ่งเรื่องได้แล้ว อีกทั้งเรื่องราวยังไม่มีที่มาที่ไปสักเท่าไร อยู่ดีๆคิดอยากจะพูดถึงก็พูด แต่ถ้าไม่อยากพูดถึงแล้วก็ตัดจบไปง่ายๆซะอย่างนั้น มีอยู่อย่างเดียวที่แอดว่าหนังเรื่องนี้ทำออกมาได้ดี นั่นก็คือน้องนักแสดงเด็กที่แสดงเป็นลูกของเอ็มม่านั่นเอง คือเธอแสดงได้ดี สมบทบาท ดูแล้วชวนให้เราแอบหลอนได้เบาๆ ตัวอย่าง หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนัง Netflix เรื่องอื่นๆ เช่น รีวิวหนัง “A Christmas Prince” (เจ้าชายคริสต์มาส) กับหนังน่ารักๆอีกหนึ่งเรื่อง ได้อีกที่ filmograd.net

รีวิว Hubie Halloween (ฮูบี้ ฮาโลวีน) ไปกับการสุขสันต์วันปล่อยผี

สวัสดีเดือนตุลาคม เดือนแห่งวันวันฮาโลวีน ก่อนอื่นต้องบอกเลยว่าพอเริ่มเข้าสู่เดือนตุลาคมแล้วนั้น Netflix ก็เริ่มปล่อยหนังที่เกี่ยวกับวันฮาโลวีนออกมาให้ผู้ชมอย่างเราได้รับชมกัน เพื่อต้อนรับวันแห่งเทศกาลการปล่อยผีนั่นเอง อย่างล่าสุดนี้ทาง Netflix ก็ได้มีการปล่อยหนังตลกอย่าง รีวิว Hubie Halloween (ฮูบี้ ฮาโลวีน) ออกมาให้เราได้รับชมกันอีกเรื่องหนึ่ง เอาเป็นว่าเราไม่รอช้า ไปดูกันเลยดีกว่าว่าหนังเรื่องนี้จะเป็นอย่างไรกันบ้าง ชื่อเรื่อง : “Hubie Halloween” (ฮูบี้ ฮาโลวีน) แนว : ตลก สยองขวัญ นักแสดง : Adam Sandler, Kevin James, Julie Bowen, Ray Liotta, Rob Schneider, June Squibb, Kenan Thompson, Shaquille O’Neal, Steve Buscemi, Maya Rudolph บทภาพยนตร์ : Tim Herlihy, Adam Sandler ผู้กำกับ : Steven Brill ค่าย : Netflix วันฉาย : 07 ตุลาคม 2020 เวลา : 01 ชั่วโมง 42 นาที IMDb : 5.4 เรื่องย่อ เรื่องราวของ “ฮูบี้ ดูบัวส์” (รับบทโดย Adam Sandler) ที่เกิดและอาศัยอยู่ที่เมืองซาเล็ม ในแมสซาซูเซตส์ โดยเขาเป็นคนที่ทุ่มเททั้งกายใจทำเพื่อคนอื่นมาโดยตลอด แต่เขาก็ยังไม่ได้เป็นที่รักของผู้คนในเมืองนี้ แถมยังเป็นถูกมองตัวตลกอีกต่างหาก อาจจะด้วยความที่เขามีความเป็นตัวของตัวเองสูงเกินไป จนเมื่อวันฮาโลวีนที่เพิ่งถึงนี้กลับมีเรื่องแปลกประหลาดเกิดขึ้นมากมาย เพราะมันมีคนหนีออกมาจากโรงพยาบาลบ้า นั่นทำให้ค่ำคืนฮาโลวีนนี้กลายเป็นคืนสยองขึ้นมา เพราะในคืนนั้นเองมีคนหายตัวไปทั้งหมด 4 คนนั่นเอง นั่นทำให้ผู้ชายจิตใจดีแต่ขี้กลัวอย่างฮูบี้ต้องลุกขึ้นมาเพื่อหาทางปกป้องเมืองนี้ให้ปลอดภัยให้ได้ รีวิว Hubie Halloween เรียกได้ว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังตลกที่คุณสามารถดูเพื่อคลายเครียดได้ป็นอย่างดี มันอาจจะไม่ได้ตลกอะไรมากมาย แต่มันก็มีฉากที่เรียกเสียงฮาได้ตลอดทั้งเรื่องเลย แต่ในความนั้น หนังก็ยังมีการสอดแทรกการจิกกัดสภาพสังคมในอเมริกาได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการบูลลี่ต่างๆ อย่างที่เราเคยเห็นมาจากหนังหลายๆเรื่อง ที่หลายคนต้องการทำตัวให้เป็นที่ยอมรับของสังคมให้ได้ ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นเป้าให้โดนบูลลี่ หรือโดนแกล้งได้อย่างง่ายดาย ซึ่งมันมีอยู่เรื่องหนึ่งที่แอดจะไม่พูดถึงไม่ได้เลย นั่นก็คือเรื่องของนักแสดง ที่สามารถแสดงได้อย่างสมจริงมากๆ มันทำให้แอดนึกว่าเป็นเรื่องรางของคนๆนั้นจริงๆซะอย่างนั้น ในส่วนของเนื้อเรื่องมันอาจจะไม่ได้มีสาระอะไรมากมายนัก ต้องเรียกได้ว่าหากใครที่คิดจะดูหนังเรื่องนี้คุณต้องโยนสมองทิ้งไป แล้วจะสามารถดูหนังเรื่องนี้ได้อย่างลื่นไหล เพราะในเรื่องนั้นมันไม่ได้มีเนื้อหาหลักๆอะไรที่ต้องการจะสื่อให้ผู้ชมรับรู้มากไปกว่าความฮาเท่านั้นที่คุณจะได้รับจากหนังเรื่องนี้ อ้อ…แต่แอดชอบตอนจบของหนังเรื่องนี้อยู่นะ มันเหมือนกับคนดีคนหนึ่งที่ทำเพื่อสังคมมาโดยตลอดแต่ยังกลับถูกมองเป็นตัวตลกอยู่เสมอ จริงๆแล้วเราควรที่จะมองกันให้ลึกถึงนิสัยกันมากกว่าที่จะมองเพียงแค่ภายนอกเท่านั้น ซึ่งตอนจบก็ได้กล่าวถึงเรื่องนี้เอาไว้ได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว ตัวอย่าง หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนัง Netflix เรื่องอื่นๆ เช่น รีวิว ปริศนามนุษย์กลของอูโก้ หนังที่จะพาคุณย้อนวัยไปด้วยกันอีกครั้ง ได้อีกที่ filmograd.net