รีวิวหนัง แวมไพร์ ทไวไลท์ 2 (The Twilight Saga: New Moon)

หลังจากที่ได้แนะนำให้ดูภาคแรกกันไปแล้วนั้น วันนี้เรามาต่อกันใน รีวิว แวมไพร์ ทไวไลท์ 2 กันเลยดีกว่า สำหรับเรื่องราวความรักภาคต่อของแวมไพร์สุดหล่อที่ได้สร้างความแปลกตาให้กับคนดูอย่างเราไปแล้วในช่วงนั้น ซึ่งแอดต้องบอกก่อนเลยว่าสำหรับภาคต่อตอนนี้มันค่อนข้างน่าเบื่อ ยืดยาดไปหน่อย ดูแล้วพาลให้เราเบื่อได้แบบง่ายๆเลย คือดูจนจบเรื่องแล้วยังรู้สึกว่า เนื้อเรื่องมันไม่ได้มีอะไรที่ต้องการจะสื่อให้คนดูอย่างเราเหมือนอย่างในภาคแรกเท่าไรนัก แถมพระเอกของเรายังออกมาน้อยอีกต่างหาก เรียกได้ว่าออกมาตอนเรื่องใกล้จบก็ยังได้เลย เหมือนภาคนี้จะเน้นไปที่เรื่องราวของมนุษย์หมาป่าที่ไม่ได้สมกับชื่อเรื่องหนังเลยสักนิด สำหรับแวมไพร์ ทไวไลท์ 2 นี้เหมือนมีอลิซเป็นตัวละครตัวเดียวที่สามารถสร้างความสดใสให้กับคนดูอย่างเราได้สดชื่นไปตามๆกัน แต่อลิซเธอก็ออกมาอย่างน้อยนิดเท่านั้น แอดเลยต้องขอบอกเลยว่าสำหรับภาคนี้แอดว่ายังไม่ผ่านนะ เพราะถ้าเทียบจากภาคแรกแล้ว ภาคแรกยังทำได้ดีกว่าภาคนี้เยอะมาก อย่างน้อยก็ให้บรรยากาศเหมือนมีแวมไพร์อาศัยอยู่จริงๆ มีความเย็นๆเยือกๆให้คนดูอย่างเรารู้สึกได้ ชื่อเรื่อง : “The Twilight Saga: New Moon” (แวมไพร์ ทไวไลท์2) แนว : โรแมนติก แฟนตาซี นักแสดง : Kristen Stewart, Robert Pattinson, Taylor Lautner, Ashley Greene, Rachelle Lefevre, Billy Burke, Peter Facinelli, Nikki Reed, Kellan Lutz, Jackson Rathbone, Anna Kendrick, Michael Sheen, Dakota Fanning บทภาพยนตร์ : Melissa Rosenberg ผู้กำกับ : Chris Weitz ค่าย : Summit Entertainment วันฉาย : 20 พฤศจิกายน 2009 เวลา : 02 ชั่วโมง 10 นาที IMDb : 4.7 (จากทั้งหมด 262,817 โหวต) เรื่องย่อ เรื่องราวความรักภาคต่อของ “เบลล่า” (รับบทโดย Kristen Stewart) และ “เอ็ดเวิร์ด” (รับบทโดย Robert Pattinson) หลังจากที่เบลล่าอายุครบ 18 ปีบริบูรณ์นั้น เอ็ดเวิร์ดก็ตัดสินใจออกไปจากชีวิตของเธอ เพราะต้องการให้เธอไปมีชีวิตแบบคนปกติธรรมดาทั่วไป นั่นทำให้เบลล่าใช้ชีวิตแบบไร้เรี่ยวแรง ไม่คบหากับใครและใช้ชีวิตอยู่ตามลำพัง ซึ่งในขณะเดียวกันนั้นเองเธอก็ค้นพบว่า เธอสามารถพบกับเอ็ดเวิร์ดได้อีกครั้งก็ต่อเมื่อเธอตกอยู่ในอันตรายเท่านั้น นั่นทำให้เธอตัดสินใจทำเรื่องเสี่ยงอันตรายมากขึ้นเรื่อยๆ ตัวอย่าง “แวมไพร์ ทไวไลท์ 2“ หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนังต่างประเทศเรื่องอื่นๆ เช่น รีวิว Twilight (แวมไพร์ ทไวไลท์ แรกรัตติกาล) กับความรักของแวมไพร์ ได้อีกที่ filmograd.net

รีวิว Twilight (แวมไพร์ ทไวไลท์ แรกรัตติกาล) กับความรักของแวมไพร์

สำหรับวันนี้แอดจะพาทุกคนมาดู รีวิว Twilight  หนังเก่าที่เคยเป็นกระแสโด่งดังมาก่อนในสมัยนั้น ซึ่งที่แอดเลือกหยิบหนังเรื่องนี้มาบอกเล่าอีกครั้ง นั่นก็เพราะว่าหนังเรื่องนี้เพิ่งได้เข้าใน Netflix เมื่อไม่กี่วันมานี้ แถมยังติด Top 10 ในทันทีอีกต่างหาก โดยหนังเรื่องนี้นั้นสร้างขึ้นมาจากนิยายขายดีอย่าง “Twilight” ที่เขียนโดย Stephenie Meyer นั่นเอง ชื่อเรื่อง : “Twilight” (แวมไพร์ ทไวไลท์) แนว : โรแมนติกแฟนตาซี นักแสดง : Kristen Stewart, Robert Pattinson, Billy Burke, Peter Facinelli บทภาพยนตร์ : Melissa Rosenberg ผู้กำกับ : Catherine Hardwicke ค่าย : Summit Entertainment วันฉาย : 17 พฤศจิกายน 2008 เวลา : 02 ชั่วโมง 01 นาที IMDb : 5.2 (จากทั้งหมด 421,299 โหวต) เรื่องย่อ เรื่องราวของ “เบลล่า สวอน” (รับบทโดย Kristen Stewart) เด็กสาวในครอบครัวที่พ่อแม่หย่าร้างกัน และแยกกันอยู่ ซึ่งเธอได้ใช้ชีวิตอยู่กับแม่ของเธอมาโดยตลอดตั้งแต่เด็ก แต่ในวันหนึ่งแม่ของเธอก็ได้แต่งงานใหม่ และสามีใหม่ของแม่เธอเป็นนักเบสบอลที่ต้องเดินทางไปแข่งขันบ่อยๆ เธอจึงเห็นว่าถ้าเธอยังอยู่กับแม่นั้น แม่เธอจะต้องคอยอยู่ดูแลเธอที่บ้านแทนที่จะได้ออกเดินทางไปพร้อมกับสามีใหม่ เบลล่าจึงอยากเปิดโอกาสให้แม่ของเธอมีความสุขกับชีวิตคู่ครั้งใหม่นี้ให้เต็มที่ เธอจึงตัดสินใจย้ายไปอยู่กับพ่อของเธอที่เมืองฟอร์ก สหรัฐอเมริกา เมืองที่มีฝนตก หนาวเย็นตลอดทั้งปีแทน เมื่อเบลล่าได้เข้าไปเรียนที่โรงเรียนแห่งใหม่ เธอก็ได้พบเข้ากับ “เอ็ดเวิร์ด คัลเลน” (รับบทโดย Robert Pattinson) ผู้ชายที่สุดแสนจะเพอร์เฟ็ค ไม่ว่าจะเป็นรูปร่าง หน้าตา ความแข็งแรง และความฉลาดที่เรียกได้ว่าครบเครื่องเอามากๆ แต่ภายใต้ความเพอร์เฟ็คนี้กลับมีความลับบางอย่างซ่อนอยู่ รีวิว Twilight สำหรับหนังเรื่องนี้เรียกได้ว่าเป็นยุคบุกเบิกของหนังที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับแวมไพร์ในสมัยนั้นได้เลย เพราะด้วยความที่มันเป็นหนังรักที่มีเรื่องราวของแวมไพร์ และมีฉากต่อสู้เพื่อปกป้องคนที่รักเราให้เราได้ดูได้อย่างไม่น่าเบื่อเลย ซึ่งสำหรับใครที่ไม่ชอบหนังรักที่เป็นหนังรักแบบความรักหวานแหวว แอดว่าหนังเรื่องนี้ก็ตอบโจทย์อยู่นะ อีกทั้งหนังเรื่องนี้ยังเป็นหนังที่ใช้การเดินเรื่องได้แบบเรียลมากๆ เพราะตัวหนังนั้นมีการใส่เพลงประกอบมาน้อยมาก ให้อารมณ์เหมือนเรากำลังดูหนังญี่ปุ่นอยู่เลย เอาเป็นว่าสำหรับแอดนะ แอดว่าหนังเรื่องนี้น่ารักสมคำล่ำลือเลยจริง ว่าจะตามเก็บให้ครบทุกภาคเลยแหละ ตัวอย่าง หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนังต่างประเทศเรื่องอื่นๆ เช่น รีวิว Love and Monsters กับการต่อสู้เพื่อเอาตัวรอดในวันสิ้นโลก ได้อีกที่ filmograd.net

รีวิว Over the Moon เนรมิตฝันสู่จันทรา กับตำนานความรักในเทศกาลไหว้พระจันทร์

แอนิเมชั่นเดี๋ยวนี้ก็มีมากมายหลากหลายมากมายเลยจริงๆ ซึ่งในตอนนี้แอนิเมชั่นแนวมิวสิคัลก็ถือได้ว่าเป็นการ์ตูนที่กำลังเป็นที่นิยมเช่นกัน เพราะนอกจากเราจะได้ดูการ์ตูนที่มีเรื่องราวดีๆ ภาพการ์ตูนสวยๆแล้ว เรายังได้ฟังเพลงเพราะๆในเรื่องอีกต่างหาก อย่างในวันนี้แอดจะมาแนะนำให้ทุกคนได้ดูการตูนเรื่องใหม่จากทาง Netflix กันใน รีวิว Over the Moon ที่เพิ่งเข้าฉายได้เมื่อไม่นานมานี้เอง มาดูกันเลยดีกว่าว่าจะเป็นยังไงบ้าง ชื่อเรื่อง : “Over the Moon” (เนรมิตฝันสู่จันทรา) แนว : พจญภัย นักแสดง : Cathy Ang, Phillipa Soo, Ken Jeong, John Chom, Ruthie Ann Miles, Margaret Cho, Sandra Oh บทภาพยนตร์ : Alice Wu, Audrey Wells ผู้กำกับ : Glen Keane ค่าย : Netflix วันฉาย : 17 ตุลาคม 2020 เวลา : 01 ชั่วโมง 40 นาที IMDb : 6.8 (จากทั้งหมด 2,164 โหวต) เรื่องย่อ เรื่องราวของ “เฟย เฟย” เด็กสาวตัวน้อยที่ได้ฟังเรื่องราวที่มาที่ไปของเทศกาลขนมไหว้พระจันทร์จากแม่ของเธอเอง โดยเริ่มต้นจาก “ฉางเอ๋อ” เทพีบนดวงจันทร์ที่ต้องพลัดพรากจากคนรักอย่าง “โฮวอี้” ที่ต้องอยู่บนโลกมนุษย์นั่นเอง ซึ่งจากเรื่องเล่านี้นั้นทำให้เฟย เฟยมีความสนใจในดวงจันทร์มาโดยตลอด จนในวันหนึ่งแม่ของเธอก็เสียชีวิตไป และพ่อของเธอก็กำลังจะสร้างครอบครัวกับแม่คนใหม่พร้อมด้วยน้องชายคนใหม่ของเธออย่าง “ชิน” นั่นเอง แต่เฟย เฟยก็ไม่อาจที่จะยอมรับความรักครั้งใหม่ของพ่อเธอได้ เธอจึงต้องการจะขึ้นไปบนดวงจันทร์เพื่อหาหลักฐานว่าฉางเอ๋อนั้นมีอยู่จริง ไม่ได้เป็นเพียงแค่ตำนานอย่างที่พ่อของเธอคิดเท่านั้น รีวิว Over the Moon อย่างแรกเลยที่อยากจะบอก ก็คือการ์ตูนเรื่องนี้ได้กลิ่นอายของการ์ตูนดิสนีย์มากๆ ไม่ว่าจะเป็นลักษณะตัวละครที่มีความคล้ายคลึงกัน หรือแม้แต่ลำดับการเล่าเรื่องต่างๆ ช่างคล้ายกันเสียนี่กระไร แต่ก็นะ…เพราะว่าการ์ตูนเรื่องนี้ได้ผู้กำกับที่เคยทำงานอยู่ดิสนีย์มาถ่ายทำหนังเรื่องนี้นี่นา ถ้าไม่ได้กลิ่นอายเลยก็คงจะแปลกๆ ซึ่งสำหรับการ์ตูนเรื่องนี้นั้นองค์ประกอบทุกๆอย่างถือว่าทำออกมาได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว งานภาพสวย แถมเพลงในเรื่องก็ยังเพราะอีกต่างหาก สำหรับใครที่ยังไม่ได้ดูและคิดถึงการ์ตูนดิสนีย์นั้นแอดแนะนำว่าต้องดูการ์ตูนเรื่องนี้เลย เพราะทุกคนจะรู้สึกว่าถูกโอบกอดจากการ์ตูนดิสนีย์อีกครั้งหนึ่งหลังจากที่ห่างหายมานาน ตัวอย่าง หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนัง Netflix เรื่องอื่นๆ เช่น รีวิวหนัง “The Haunting of Bly Manor” (บลายเมเนอร์บ้านกระตุกวิญญาณ) ได้อีกที่ filmograd.net

รีวิว Love and Monsters กับการต่อสู้เพื่อเอาตัวรอดในวันสิ้นโลก

ว่าด้วยเรื่องของหนังที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับวันสิ้นโลกนั้นมีการผลิตออกมาเป็นจำนวนมาก ซึ่งในวันนี้แอดจะก็พาทุกคนมาดูกันอีกเรื่องใน รีวิว Love and Monsters ที่เดิมทีแล้วหนังเรื่องนี้มีชื่อเรื่องว่า “Monster Problems” มาก่อน อีกทั้งยังมีแผนว่าจะออกฉายในโรงภาพยนตร์ตั้งแต่เมื่อวันที่ 06 มีนาคม 2020 แต่เนื่องจากติดสถานการณ์โควิด-19 จึงต้องขอขยับกำหนดฉายออกไปเรื่อยๆ จนในที่สุดทางค่ายหนังก็ตัดสินใจนำมาออกฉายในรูปแบบสตีมมิ่งให้เราได้รับชมกันในวันที่ 16 ตุลาคม ที่ผ่านมานี้เอง ชื่อเรื่อง : “Love and Monsters” แนว : พจญภัย คอมเมดี้ นักแสดง : Dylan O’Brien, Michael Rooker, Ariana Greenblatt, Jessica Henwick บทภาพยนตร์ : Brian Duffield, Matthew Robinson ผู้กำกับ : Michael Matthews ค่าย : Paramount Pictures วันฉาย : 16 ตุลาคม 2020 เวลา : 01 ชั่วโมง 49 นาที IMDb : 7.8 (จากทั้งหมด 2,424) เรื่องย่อ เรื่องราวของโลกที่มีอุกาบาตลึกลับตกลงมาบนโลกมนุษย์ โดยอุกาบาตที่ตกลงมานี้กลับนำพาเชื้อโรคร้ายที่ทำให้สัตว์และแมลงต่างๆ สามารถกลายร่างเป็นปีศาจตัวใหญ่มหึมาได้ ซึ่งมันส่งผลให้มนุษย์ส่วนใหญ่โดนฆ่าตายไปมากกว่าครึ่ง และมนุษย์ส่วนที่เหลือจำต้องหลบภัยอยู่ภายใต้บังเกอร์ใต้ดินเพื่อมีชีวิตรอดปลอดภัย แต่เมื่อ “โจล” (รับบทโดย Dylan O’Brien) ชายหนุ่มวัยรุ่นผู้ที่รอดชีวิตอยู่ภายใต้บังเกอร์นั้นสามารถติดต่อ “เอมมี่” (รับบทโดย Jessica Henwick) แฟนสาวที่ผลัดหลงกันตอนเกิดเหตุได้ ด้วยความรักและความคิดถึง โจลจึงคิดว่าจะไปหาเอมมี่ด้วยตัวคนเดียวให้ได้ ถึงแม้เพื่อนๆภายใต้บังเกอร์เดียวกันจะห้ามเขามากแค่ไหนก็ตาม เขาก็ยังเลือกจะออกไปอยู่ดี รีวิว Love and Monsters สำหรับใครที่กำลังคิดถึงผลงานของ Dylan O’Brien ที่ได้ห่างหายไปจากวงการภาพยนตร์ทันทีหลังจากที่จบหนังภาคต่อสุดฮิตอย่าง “The Maze Runner” นั้น วันนี้เขากลับมาแล้วกับหนังพจญภัยเรื่องใหม่นี้ ซึ่งแอดต้องบอกเลยว่าหนังเรื่องนี้นั้นเป็นหนังที่เราสามารถดูกันได้ทั้งครอบครัวเลย ไม่ว่าจะชาย หญิง เด็ก คนโต ก็สามารถดูได้เลย เพราะว่าหนังเรื่องนี้ไม่ได้มีฉากที่ดุเลือดเลือดพล่านจนน่ากลัวมากนัก โดยหนังเรื่องนี้จะเน้นไปที่เรื่องของความตื่นเต้นที่เราต้องคอยลุ้นตามตัวละครหลักอย่างเดียวเท่านั้นจริงๆ ซึ่งแอดต้องบอกเลยว่าหนังมันสนุกมากจริงๆ มีการดำเนินเรื่องได้อย่างรวดเร็ว ไม่เสียเวลาเลยสักนิด อีกทั้งหนังยังใส่ความตื่นเต้นเข้ามา เพื่อให้ผู้ชมต้องคอยลุ้นตามเกือบตลอดทั้งเรื่องเลยทีเดียว ตัวอย่าง หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนังต่างประเทศเรื่องอื่นๆ เช่น รีวิว เฟคซูสู้เว้ย! (Secret Zoo) หนังที่ผสมผสานสาระและความฮาได้อย่างแนบเนียน ได้อีกที่ filmograd.net

รีวิว เฮ้ย! ลูกเพ่ นี่ลูกพ่อ หนังตลกที่จะมาทำให้คุณคิดถึงพ่อแม่มากขึ้น

วันนี้จะพาทุกคนมาดู รีวิว เฮ้ย ลูกเพ่ นี่ลูกพ่อ เรื่องนี้กันเลย หลังจากที่เคยมีกระแสถึงความจิ้นระหว่าง โป๊ปและเต๋อมาสักพักก่อนที่หนังจะเข้า อาจจะด้วยความที่ดูแล้วทั้งคู่ดูเข้าขากันเป็นอย่างดี มันก็เลยเป็นเรื่องราวน่ารักๆของทั้งคู่นั่นเอง เอาเป็นว่า เรามาดูกันเลยดีกว่าว่าจะเป็นยังไงบ้าง? ชื่อเรื่อง : “เฮ้ย!ลูกเพ่ นี่ลูกพ่อ” แนว : คอมเมดี้ นักแสดง : โป๊ป -ธนวรรธน์, เต๋อ -ฉันทวิชช์, แซมมี่ เคาวเวลล์ ผู้กำกับ : ภวัต พนังคศิริ ค่าย : ทรานฟอร์เมชั่น ฟิล์ม วันฉาย : 13 ตุลาคม 2020 เวลา : 01 ชั่วโมง 45 นาที เรื่องย่อ เรื่องราวของ “ก๊อต” (รับบทโดย โป๊ป -ธนวรรธน์) ชายหนุ่มนักแข่งรถที่ไม่ค่อยลงรอยกับ “เปรม” (รับบทโดย เต๋อ –ฉันทวิชช์) พ่อของเขามากสักเท่าไร จนในวันหนึ่งก๊อตได้ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์จนทำให้เขาต้องย้อนเวลากลับไปยังปี พ.ศ.2541 หรือ 1 ปีก่อนที่เขาจะเกิดเท่านั้น ซึ่งในการย้อนเวลาครั้งนั้นก๊อตได้พบกับพ่อของเขาในวัยที่เป็นวัยรุ่น อีกทั้งพ่อของเขายังเป็นหัวหน้าแก๊งค์หรือหัวโจกในสมัยนั้นอีกด้วย แถมก๊อตยังมาตกหลุมรักผู้หญิงคนเดียวกันกับพ่อของเขาอย่าง “บิว” (รับบทโดย แซมมี่ เคาวเวลล์) หรือแม่ของเขาในปัจจุบันอีกด้วย นั่นทำให้ก๊อตต้องพยายามจีบบิวแข่งกับพ่อของเขาเองซะอย่างนั้น รีวิว เฮ้ย ลูกเพ่ นี่ลูกพ่อ ต้องเรียกได้ว่าค่อนข้างคาดหวังกับหนังเรื่องนี้เอาไว้มากเลยทีเดียว ด้วยเนื้อเรื่องที่น่าสนใจ และตัวอย่างหนังที่ทำออกมาเชิญชวนให้คนดูอย่างเราอยากเสียเงินเข้าไปดูมากๆ แล้วไหนจะเรื่องของผลงานการผลิตของใหม่-ภวัต เจ้าของผลงานละครที่โด่งดังไปทั่วประเทศอย่างเรื่อง “บุพเพสันนิวาส” อีก ทั้งหมดนี้มันยิ่งตอกย้ำเข้าไปใหญ่ว่า เราควรเสียเงินเข้าไปดูในโรงภาพยนตร์ให้ได้ แต่หลังจากที่ได้ดูแล้ว คือถ้าหากเราดูเพื่อความบันเทิง ไม่ได้อยากได้พล็อตเรื่องอะไรที่มันน่าตื่นเต้นมากนัก ก็สามารถดูได้อย่างเพลินๆ ดูได้เรื่อยๆ แต่แอดว่าในเรื่องของโลเคชั่น หรือยานพาหนะต่างๆนั้นมันไม่เหมือนปี พ.ศ.2541 อย่างที่ควรจะเป็น แต่มันเหมือนว่าจะย้อนไปไกลกว่านั้นอีกเยอะมากเลย ต้องเรียกได้ว่าหนังเรื่องนี้ถ้าไม่มีโป๊ปกับเต๋อก็น่าจะดับไปแล้วล่ะ เพราะเต๋อกับโป๊ปนั้นถือได้ว่าเป็นสเน่ห์อย่างเดียวในหนังเรื่องนี้เลย ตัวอย่าง หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนังไทยเรื่องอื่นๆ เช่น รีวิว แฟนเดย์…แฟนกันแค่วันเดียว พร้อมเฉลยตอนจบอีกแบบที่หนังไม่ได้นำเสนอ ได้อีกที่ filmograd.net

รีวิวหนัง “The Haunting of Bly Manor” (บลายเมเนอร์บ้านกระตุกวิญญาณ)

โอ้ย…ต้องเรียกได้ว่าแอดใจแอดมากๆ สำหรับแอดที่เป็นแฟนคลับซีรี่ย์ผีหลอนๆอย่างเรื่อง “The Haunting of Hill House” ที่ในวันนี้ทางทีมผู้สร้างและนักแสดงชุดเดิมมีการยกขบวนมาสร้างซีรีย์สุดสยองขวัญในบ้านหลังใหม่กันใน “The Haunting of Bly Manor” (บลายเมเนอร์บ้านกระตุกวิญญาณ) ซึ่งแน่นอนเลยว่าแฟนคลับอย่างแอดมีหรือจะพลาดซีรี่ย์เรื่องนี้ ชื่อเรื่อง : “TheHaunting Of Bly Manor” (บลายเมเนอร์บ้านกระตุกวิญญาณ) แนว : สยองขวัญ โรแมนติก ดราม่า นักแสดง : Victoria Pedretti, Oliver Jackson-Cohen, Amelia Eve, T’Nia Miller, Rahul Kohli, Tahirah Sharif, Amelie Bea Smith, Benjamin Evan Ainsworth, Henry Thomas ผู้สร้าง : Mike Flanagan ค่าย : Netflix วันฉาย : 09 ตุลาคม 2020 จำนวนตอน : 9 ตอน IMDb : 7.6 (จากทั้งหมด 26,894 โหวต) เรื่องย่อ เรื่องราวของ “แดนี เครย์ตัน” (รับบทโดย Victoria Pedretti) หญิงสาวชาวอเมริกันที่ได้งานเป็นพี่เลี้ยงเด็ก 2 คนอย่าง “ไมล์” (รับบทโดย Benjamin Evan Ainsworth) พี่ชายวัย 10 ขวบที่เพิ่งถูกเชิญออกจากโรงเรียนประจำ และ “ฟลอร่า” (รับบทโดย Amelie Bea Smith) น้องสาวที่มีพฤติกรรมแปลกประหลาดอย่าง การคุยกับใครสักคนที่มองไม่เห็น โดยแดนีจะต้องไปอาศัยกิน-นอนที่ “บลายเมอเนอร์” คฤหาสน์โบราณใหญ่โตที่เด็กทั้ง 2 คนนี้อาศัยอยู่เลย ซึ่งในคฤหาสน์แห่งนี้ยังมี “มิสซิสโกรส” (รับบทโดย T’Nia Miller) แม่บ้านเก่าแก่ของคฤหาสน์ , “โอเว่น” (รับบทโดย Rahul Kohli) พ่อครัวสุดแสนใจดี และ “เจมี่” (รับบทโดย Amelia Eve) สาวชาวสวนอีกด้วย และในการมาของแดนีครั้งนี้ทำให้เธอต้องพบเจออะไรแปลกประหลาดที่อาจเปลี่ยนชีวิตเธอไปตลอดกาล รีวิว The Haunting of Bly Manor บอกได้คำเดียวว่า สนุกมากค่ะคุณผู้อ่านทั้งหลาย แอดต้องบอกก่อนเลยว่า ถ้าใครที่เป็นแฟนคลับซีรี่ย์ภาคก่อนอย่าง “The Haunting of Hill House” แล้วนั้น คุณต้องดูซีรี่ย์ภาคนี้ต่อเลย ถึงแม้เนื้อเรื่องมันจะไม่ใช่ภาคต่อ แถมยังเป็นโครงเรื่องใหม่เลยก็ตาม แต่ถ้าคุณได้ดูแล้วจะมีความรู้สึกเหมือนเราเข้าได้ไปอยู่ในภวังหนังเรื่องนี้อีกครั้ง เพราะสไตล์การเล่าเรื่อง รวมทั้งตัวนักแสดงเองก็ยังเป็นนักแสดงชุดเดิมจากภาคแรกอีกด้วย นั่นทำให้บรรยากาศมันเหมือนเราได้ดูฮิลเฮ้าท์อีกรอบ แต่คนละเนื้อเรื่องกันแค่นั้นเอง ซีรี่ย์ภาคต่อเรื่องนี้จะเป็นการนำเสนอเรื่องราวของผีออกมาในรูปแบบใหม่ๆ ซึ่งมันอาจจะไม่ได้หลอนเท่าภาคแรก แถมผียังออกมาน้อยอีกต่างหาก เนื่องจากว่าซีรี่ย์เรื่องนี้จะเน้นไปที่เรื่องราวดราม่าซะมากกว่า แต่มันก็เป็นดราม่าที่ดูแล้วสนุกไม่มีเบื่อเลย ซึ่งถ้าหากใครที่หวังว่าจะได้ดูซีรี่ย์หลอนๆตามสไตล์ภาคแรกนั้น เรื่องนี้อาจจะทำให้คุณผิดหวังก็เป็นได้ เพราะในภาคนี้จะให้อารมณ์เหมือนเราดูหนังดราม่าที่มีผีเป็นฉากประกอบซะมากกว่า แต่ถ้าใครที่ไม่ได้คาดหวังว่ามันจะหลอนเหมือนในภาคแรก และเลือกที่จะดูภาคนี้เพราะชื่นชอบผลงานของทีมงานสร้างเดิมนั้น แอดต้องบอกให้คุณหามาดูให้ได้เลย เพราะถึงแม้มันจะไม่ได้หลอนเท่าภาคแรกนั้น แต่ในด้านดราม่าของภาคนี้ที่ทางทีมสร้างต้องการนำเสนอนั้นก็ถือว่าทำออกมาได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว ตัวอย่าง หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนัง Netflix เรื่องอื่นๆ เช่น รีวิว Hubie Halloween (ฮูบี้ ฮาโลวีน) ไปกับการสุขสันต์วันปล่อยผี ได้อีกที่ filmograd.net

รีวิวหนัง “The Christmas Chronicles” (ผจญภัยพิทักษ์คริสต์มาส)

อ่ะ…ไหนๆก็มาทางแนววันคริสต์มาสแล้ว ก็เอาให้มันเต็มที่อีกเรื่องหนึ่งกับหนังเรื่อง “The Christmas Chronicles” (ผจญภัยพิทักษ์คริสต์มาส) จากทีมผู้สร้างเดียวกันกับ “แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับศิลาอาภรรพ์” และ “โดดเดี่ยวผู้น่ารัก” ที่สามารถทำผลงานออกมาได้อย่างโดดดังไปแล้วนั่นเอง เอาเป็นว่าเราไปดูกันเลยดีกว่าว่ามันจะเป็นยังกันบ้าง ชื่อเรื่อง : “TheChristmas Chronicles” (ผจญภัยพิทักษ์คริสต์มาส) แนว : พจญภัย แฟนตาซี นักแสดง : Kurt Russell, Judah Lewis, Darby Camp, Lamorne Morris, Kimberly Williams-Paisley, Oliver Hudson, Goldie Hawn, Martin Roach, Vella Lovell บทภาพยนตร์ : Matt Lieberman ผู้กำกับ : Clay Kaytis ค่าย : Netflix วันฉาย : 22 พฤศจิกายน 2018 เวลา : 01 ชั่วโมง 44 นาที IMDb : 7.1 (จากทั้งหมด 43,147 โหวต) เรื่องย่อ คืนวันคริสต์มาสในครอบครัวหนึ่งที่ต้องอยู่กันตามลำพัง 2 คนพี่น้องอย่าง “เท็ดดี้ ไพร์” (รับบทโดย Judah Lewis) พี่ชายในวัย 16 ปี และ “เคท ไพร์” (รับบทโดย Darby Camp) น้องสาววัย 11 ปีผู้ที่คาดหวังว่าจะมีซานต้ามาให้ของขวัญในวันคริสต์มาสที่จะถึงนี้ ซึ่งทั้งคู่นั้นมักจะเป็นคู่พี่น้องที่ทะเลาะกันเป็นประจำเลย แต่ในขณะที่พวกเขากำลังทะเลาะกันอยู่นั้น พวกเขาก็ได้ยินเสียงเดินเกิดขึ้นภายในบ้านของพวกเขาเอง ทั้งคู่จึงได้วิ่งออกไปดูและพบว่าซานตาครอสกำลังลอยอยู่ตรงหน้าของพวกเขาทั้งคู่นั่นเอง ซึ่งเคทได้นึกสนุกจึงปีนขึ้นไปบนรถของซานต้าคลอส เท็ดดี้เห็นว่าท่าไม่ดีแล้ว จึงได้ปีนตามน้องสาวขึ้นไปด้วย ในขณะเดียวกันเองซานต้าก็ออกแจกของขวัญตามบ้านต่างๆและออกรถขึ้นบินไปตามปกติ แต่หลังจากนั้นเคทรู้สึกหนาวจึงไปสกิดซานต้า นั่นทำให้ซานต้าตกใจจนรถนั่งของเขาเสียหลักจนพัง อีกทั้งถุงของขวัญที่ต้องเอาไปแจกและหมวกวิเศษของซานต้าก็ยังหายไปตอนที่รถเสียหลักอีกด้วย ซึ่งนั่นทำให้พลังวิเศษของซานตาหายไปพร้อมกับหมวกในทันทีเลยทีเดียว พวกเขาจะทำอย่างไรต่อไปในเมื่อซานต้ากลายเป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งไปซะอย่างนั้น รีวิว The Christmas Chronicles หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่บอกเล่าเรื่องราวความสัมพันธ์ของพี่น้องได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว ถึงแม้จะเป็นพี่น้องที่ไม่เข้าขา หรือเป็นพี่น้องที่ทะเลาะกันบ่อยๆก็ตาม ยังไงแล้วพี่น้องก็คือพี่น้องที่ไม่สามารถตัดกันได้ขาดหรอก อย่างในหนังเรื่องนี้ที่บอกเอาไว้ว่า ถึงแม้พี่ชายจะเป็นพี่ที่ดูไม่ได้ความ ไม่น่าพึ่งพาอะไรได้ แต่ในช่วงเวลาคับขันจริงๆ คนที่เป็นพี่ชายนี่แหละที่พร้อมจะปกป้องน้องสาวของเขาทุกวิถีทาง อีกทั้งภายใต้อุปสรรคที่พวกเขาต้องเผชิญร่วมกันนั้น ยังทำให้พวกเขาเข้าอกเข้าใจกันมากขึ้นอีกต่างหาก เอาเป็นว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ดูได้แบบเพลินๆ และยังช่วยคลายเครียดได้ดีอีกด้วย ตัวอย่าง หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนัง Netflix เรื่องอื่นๆ เช่น รีวิว Vampires VS The Bronx (แวมไพร์ บุกบรองซ์) หนังเด็กที่ต้องมาสู้กับแวมไพร์ได้อีกที่ filmograd.net

รีวิว The Knight Before Christmas (อัศวินก่อนวันคริสต์มาส)

ต้องยอมรับเลยว่า Netflix นั้นผลิตหนังรักที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับวันคริสต์มาสเยอะมากๆ และในวันนี้แอดจะพาทุกคนมาดูอีกเรื่องหนึ่งกันใน รีวิว The Knight Before Christmas (อัศวินก่อนวันคริสต์มาส) กันเลย ต้องบอกก่อนเลยว่าเรื่องราวของหนังเรื่องนี้มันอาจจะไม่ได้แปลกใหม่ หรือแปลกตามากนัก แต่ก็ถือได้ว่าเป็นหนังที่น่ารักพอตัวเลยล่ะ ชื่อเรื่อง : “The Knight BeforeChristmas” (อัศวินก่อนวันคริสต์มาส) แนว : โรแมนติก นักแสดง : Vanessa Hudgens, Josh Whitehouse, Emmanuelle Chriqui บทภาพยนตร์ : Cara J. Russell ผู้กำกับ : Monika Mitchell ค่าย : Netflix วันฉาย : 21 พฤศจิกายน 2019 เวลา : 01 ชั่วโมง 32 นาที IMDb : 5.5 (จากทั้งหมด 12,352 โหวต) เรื่องย่อ เรื่องราวของ “เซอร์โคล” (รับบทโดย Josh Whitehouse) อัศวินหนุ่มสุดหล่อจากยุคกลางที่กำลังจะขี่ม้ากลับไปที่ปราสาท โดยในระหว่างทางนั้นเขาได้เจอเข้ากับหญิงเฒ่าคนหนึ่งที่หลบอยู่หลังต้นไม้ด้วยอาการหนาวสั่นท่ามกลางหิมะ ด้วยความเป็นห่วงเซอร์โคลจึงเสนอความช่วยเหลือพาหญิงเฒ่าไปยังที่ที่ปลอดภัย แต่หญิงเฒ่าได้บอกว่าเซอร์โคลว่า เขาจะต้องเดินทางไปยังที่ที่ไกลแสนไกล พร้อมกับมอบภารกิจปริศนาให้เซอร์โคลทำให้สำเร็จลุล่วงก่อนเที่ยงคืนวันคริสต์มาส อีกทั้งยังมอบลูกแก้วเปร่งแสงให้กับเขาอีกด้วย แต่ทันใดนั้นเองเซอร์โคลก็มาปรากฏตัวอยู่ที่โอไฮโอ ยุคปัจจุบัน พร้อมกับบรรยากาศที่เขาไม่คุ้นเคยมาก่อน รีวิว The Knight Before Christmas (อัศวินก่อนวันคริสต์มาส) อย่างที่แอดเกริ่นไปตอนแรกนั้นว่าหนังเรื่องนี้จะเป็นพล็อตเรื่องเดิมๆ ไม่มีอะไรแปลกใหม่ แต่มันก็เป็นหนังที่เราสามารถดูได้แบบเพลินๆ ดูแล้วมันก็น่ารักไปอีกแบบหนึ่งนะ โดยหนังเรื่องนี้เหมาะกับการดูพร้อมกับครอบครัว หรือจะดูกับแฟนก็ฟินสุดๆเลยล่ะ ซึ่งหลังจากที่แอดได้ดูแล้วแอดก็ยังอดอมยิ้มกับความเปิ่นๆของพระเอกของเราไม่ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นคำศัพท์เชยๆที่เขาเคยใช้ในยุคกลาง หรือแม้แต่การกระทำที่แปลกๆของพระเอกในเวลาที่เจออุปกรณ์ล้ำสมัยในปัจจุบันนั่นเอง เอาเป็นว่าสำหรับใครที่กำลังมองหาหนังรักเบาๆสบายสมอง จะเลือกดูหนังเรื่องนี้ก็ได้นะ แอดว่าตัวหนังมันน่ารักในระดับหนึ่งเลย ตัวอย่าง หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนังNetflix เรื่องอื่นๆ เช่น รีวิว The Last Summer กับหนังรักที่จะชวนให้คุณคิดถึงวัยเรียนเป็นอย่างมาก ได้อีกที่ filmograd.net

รีวิวหนังเรื่อง “Crazy Rich Asians” (เครซี่ ริช เอเชี่ยนส์ เหลี่ยมโบตัน)

ว่าด้วยเรื่องราวของหนังที่เคยเป็นกระแสที่โด่งดัง และสามารถครองแชมป์ทำรายได้ในสหรัฐอเมริกาได้ทั้งจอเล็กและจอใหญ่อย่างเรื่อง “Crazy Rich Asians” (เครซี่ ริช เอเชี่ยนส์ เหลี่ยมโบตัน) นี้นั้น ถือได้ว่าเป็นปรากฏการณ์ที่สร้างความภาคภูมิใจให้กับคนเอเชียเราเป็นอย่างมาก อีกทั้งหนังเรื่องนี้ยังมีเค้าโครงมาจากนิยายเรื่อง “CrazyRich Asians” ที่เขียนโดย Kevin Kwan อีกด้วย เอาเป็นว่าเรามาดูกันเลยดีกว่าว่าหนังเรื่องนี้มันมีดียังไงกันนะ ชื่อเรื่อง : “Crazy RichAsians” (เครซี่ ริช เอเชี่ยนส์ เหลี่ยมโบตัน) แนว : โรแมนติก คอมเมดี้ นักแสดง : Constance Wu, Henry Golding, Gemma Chan, Lisa Lu, Awkwafina, Ken Jeong, Michelle Yeoh บทภาพยนตร์ : Peter Chiarelli, Adele Lim ผู้กำกับ : Jon M. Chu ค่าย : Warner Bros. Pictures วันฉาย : 15 สิงหาคม 2018 เวลา : 02 ชั่วโมง 01 นาที IMDb : 6.9 (จากทั้งหมด 135,143 โหวต) เรื่องย่อ เรื่องราวของ “เรเชล ชู” (รับบทโดย Constance Wu) อาจารย์สาวลูกครึ่งเชื้อสายอเมริกัน-จีนสอนเศรษฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งต้องเดินทางไปร่วมงานแต่งเพื่อนสนิทของ “นิค ยัง” (รับบทโดย Henry Golding) แฟนหนุ่มของเธอที่ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งหลังจากที่เธอได้เดินทางไปพบกับครอบครัวของนิกแล้วนั้น เธอกลับพบว่าแฟนหนุ่มของเธอมีฐานะร่ำรวยเข้าขั้นเศรษฐีอันดับต้นๆของประเทศสิงคโปร์อีกด้วย และการคบหากับนิคในครั้งนี้ทำให้เธอต้องตกเป็นเป้าหมายของสังคมรอบๆ เพราะความอิจฉานั่นเอง แต่ที่แย่ยิ่งกว่านั้นนั่นก็คือ “เอลิเนอร์ ยัง” (รับบทโดย Michelle Yeoh) แม่ของนิก ยังไม่ชอบเธอเอามากๆอีกด้วย รีวิว Crazy Rich Asians สำหรับคนไทยอย่างเราถ้าได้ดูหนังเรื่องนี้อาจจะมีความรู้สึกว่า หนังมันว้าวตรงไหนกันนะ ทำไมอเมริกาถึงได้ฮิตแล้วถูกพูดถึงเป็นอย่างมากในช่วงนั้น ซึ่งหนังเรื่องนี้มันอาจจะเป็นพล็อตหนังที่ออกไปในทางแนวหนังน้ำเน่าที่คนไทยเราคุ้นชินมันเป็นอย่างดีนั่นเอง แต่ทางอเมริกาเขาไม่ได้มีหนังแนวๆนี้มากเหมือนบ้านเราไง เพราะทางฮอลลีวูดของบ้านเขาจะเน้นไปที่การทำหนังแนวซุปเปอร์ฮีโร่หรือหนังแฟนตาซีนอกโลกกันซะเป็นส่วนใหญ่เลย มันก็เลยอาจจะเป็นจุดขายที่ดีของหนังเรื่องนี้เลยก็เป็นได้ เอาเป็นว่าสำหรับหนังเรื่องนี้นะ แอดว่าเราสามารถดูได้แบบเพลินๆอยู่นะ คู่พระ-นางก็น่ารัก เคมีเข้ากันสุดๆเลย ตัวอย่าง หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนังต่างประเทศเรื่องอื่นๆ เช่น รีวิว The Meg (เม็ก โคตรหลามพันล้านปี) กับฉลามยักษ์ในยุคดึกดำบรรพ์ ได้อีกที่ filmograd.net

รีวิว คู่มือล่าปีศาจ ฉบับพี่เลี้ยง (A Babysitter’s Guide To Monster Hunting)

จะเป็นไปได้ไหม? ที่เราจะสามารถปกป้องตัวเองจากฝันร้ายต่างๆได้ เพราะในบางทีการที่เราฝันร้ายบ่อยๆนั้น มันก็อาจจะทำให้เราจิตตกจนอาจจะเสียการเสียงานหรืออื่นๆไปโดยใช่เหตุได้ แต่ก็แน่นอนแหละว่ามันทำแบบนั้นไม่ได้ไง เราสามารถทำได้เพียงอย่างเดียวนั่นก็คือ อย่าไปจิตตกกับเรื่องราวความฝันต่างๆให้มากมายนัก ซึ่งในวัยผู้ใหญ่แบบเราแล้วก็อาจจะพอทำได้อยู่หรอกนะ แต่ถ้าคนที่ฝันร้ายนั้นเป็นเด็กๆล่ะ เขาจะสามารถรับมือกับเรื่องราวแบบนี้ได้หรือไม่ และถ้าเรารักเด็กคนนั้นด้วยแล้วล่ะก็ เราก็ต้องอยากปกป้องเขาอยู่แล้วอย่างใน รีวิว คู่มือล่าปีศาจ ฉบับพี่เลี้ยง (A Babysitter’s Guide To Monster Hunting) นั่นเอง ชื่อเรื่อง : “คู่มือล่าปีศาจ ฉบับพี่เลี้ยง” (A Babysitter’s Guide To Monster Hunting) แนว : นักแสดง : Tom Felton, Oona Laurence, Tamara Smart, Ian Ho, Tamsen McDonough บทภาพยนตร์ : Joe Ballarini ผู้กำกับ : Rachel Talalay ค่าย : Netflix วันฉาย : 15 ตุลาคม 2020 เวลา : 01 ชั่วโมง 38 นาที IMDb : 6.7 (จาก 12 โหวต) เรื่องย่อ เรื่องราวของ “เคลลี่ เฟอร์กูสัน” (รับบทโดย Tamara Smart) สาวน้อยที่ได้รับขนานนามว่า “ยัยเด็กมอนสเตอร์” เพราะเธอเคยไปเล่าให้คนอื่นฟังว่า ในสมัยเด็กว่ามีพวกมอนสเตอร์คอยจ้องจะทำร้ายเธออยู่ ซึ่งนั่นมันก็ทำให้เธอถูกมองว่าเธอสติไม่ดี แล้วก็โดนล้อเลียนมาโดยตลอด จนในวันหนึ่งรุ่นพี่ที่โรงเรียนได้ประกาศเชิญชวนทุกคนเข้าร่วมปาร์ตี้วันฮาโลวีนที่บ้านของเขา ซึ่งเคลลี่ก็หวังว่าจะเข้าร่วมปาร์ตี้นี้ด้วย แต่เธอกลับต้องไปเป็นพี่ลี้ยงเด็กให้กับลูกชายของเจ้านายแม่เธอแทน เพราะเจ้านายแม่เธอจะออกไปปาร์ตี้คืนวันฮาโลวีนนั่นเอง ซึ่งในการไปเป็นพี่เลี้ยงเด็กของเธอครั้งนี้ทำให้เธอต้องเผชิญกับเรื่องราวสุดแปลกประหลาด ที่นอกจากว่าเธอจะต้องคอยปกป้องเด็กน้อยคนนั้นจากอันตรายต่างๆแล้วเธอยังต้องคอยปกป้องเด็กน้อยจากฝันร้ายอีกด้วย รีวิว คู่มือล่าปีศาจ ฉบับพี่เลี้ยง (A Babysitter’s Guide To Monster Hunting) ต้องออกตัวก่อนเลยว่าหนังเรื่องนี้มันเป็นหนังสำหรับเด็ก ที่เรื่องที่เครียดที่สุดในวัยเด็กก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของความฝันกันหรอกใช่ไหม เพราะในบางทีการที่เรายังเป็นเด็กนั้นก็อาจจะไม่สามารถแยกแยะเรื่องราวของความจริงหรือความฝันได้หรอกใช่ไหม ซึ่งในหนังเรื่องนี้สามารถบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับฝันร้ายได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว นักแสดงหลักก็ยังคงเป็นนักแสดงเด็กๆกันอยู่เลย แต่ฝีมือการแสดงของน้องๆนี่ไม่เด็กเลยนะ เรียกได้ว่าแสดงได้ดีจนแอดอดอินตามไม่ได้เลย ถึงแม้จะมีบางช่วงที่ดูแล้วขัดหูขัดตาไปบ้าง แต่มันก็ไม่ได้น่าเกียจจนถึงขนาดน่าเบื่อ เพราะว่าเราสามารถมองข้ามมันได้อย่างง่ายๆเลยทีเดียว อีกทั้งในเรื่องนี้ยังมีสัตว์ประหลาดที่หน้าตาน่าเกียจน่ากลัวในระดับที่ถ้าหากเด็กดูก็สามารถรับได้อย่างง่ายๆเลย ซึ่งแอดคิดว่าหนังเรื่องนี้เด็กๆน่าจะชื่นชอบกันเป็นอย่างมากเลยแหละ ตัวอย่าง หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนัง Netflix เรื่องอื่นๆ เช่น รีวิว ครอบครัวข้างบ้าน (American Murder: The Family Next Door) ได้อีกที่ filmograd.net