รีวิว Desperados เสียฟอร์ม ยอมเพราะรัก รอมคอมเรื่องใหม่จาก Netflix ปี 2020

รีวิว Desperados จะเป็นเรื่องราวของหญิงสาวคนนึงที่โชคชะตา (เหมือน) จะไม่เข้าข้างเธอเลยในตอนแรกอย่าง “เวสลีย์” ที่ทั้งเพิ่งเลิกกับแฟนเก่า เงินก็ไม่มีใช้ ชีวิตสิ้นหวังสุด ๆ จนได้บังเอิญมาเจอกับ หนุ่มหล่อสุดฮอตที่สายเปย์อย่างสุด ๆ “จาเรด” ซึ่งทั้งคู่ก็เหมือนจะไปได้ด้วยดี จนกระทั่งพักหลัง ๆ จาเรดไม่ส่งข้อความ หรือติดต่อกลับมาหาเวสลีย์เลย ทำให้เธอคิดว่าเขาคงทิ้งเธอไปแล้วแน่ ๆ เธอโกรธมากและเสียใจด้วยจึงขาดสติขั้นสุดส่งอีเมลไปด่าเขาเสีย ๆ หาย ๆ เรียกได้ว่ากระหน่ำด่าเลยล่ะ จนมารู้ทีหลังว่าสาเหตุที่จาเรดไม่ได้ติดต่อกลับมาเพราะเขาประสบอุบัติเหตุจนต้องอยู่ห้อง ICU ด้วยอาการโคม่า และโทรศัพท์ของเขาก็ยังอยู่ที่เม็กซิโกระหว่างการเดินทางอีกด้วย ทีนี้แหละเป็นเหตุให้เวสลีย์ชวนเพื่อนสาวอีก 2 คนออกเดินทางไปเม็กซิโกเพื่อหวังที่จะแอบลบอีเมลที่ส่งให้เขาไปก่อนหน้านี้ให้ทันเวลา ระหว่างที่อยู่เม็กซิโกสามสาวก็มีโอกาสได้เจอกับผู้ชายที่เข้ามาในชีวิตและเสริมสร้างประสบการณ์ให้กับพวกเธอ จะว่าไปก็เป็นประสบการณ์ที่หลากหลายด้าน โดยหนังเรื่องนี้จะใส่ความคอมเมดี้ผ่านมุก 18 + เป็นส่วนใหญ่ ใครที่ชอบมุกฮาเกี่ยวกับใต้สะดือก็อาจจะถูกใจกันเป็นพิเศษ ความแสบร้ายของสามสาวก็มีให้เห็นตลอดทั้งเรื่อง แม้ว่าจะดูเป็นเรื่องสะเปะสะปะ แต่ก็มีการเพิ่มประเด็นของการเป็นตัวของตัวเองแม้ว่าจะอยู่กับคนที่เราชอบ หรือการไม่ยอมทิ้งความฝันของตัวเองก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างยิ่ง อีกทั้งเรายังได้เรียนรู้เกี่ยวกับการเลือกคู่ชีวิตว่าแท้จริงเราไม่ควรมองกันแค่เพียงรูปลักษณ์ภายนอกหรือชื่อเสียงเงินทองของเขาแม้แต่น้อย เพราะความเป็นจริงแล้วเมื่อเราต้องอยู่ร่วมกับใครสักคนสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ “การเข้ากันได้” และ “การยอมรับ” ซึ่งกันและกันมากกว่า ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับการ รีวิว Desperados ประเภท : คอมเมดี้ ผู้กำกับ : LP นักแสดงนำ : นาซิม เปเดรด,แอนนา แคมป์,ลามอร์น มอร์ริส,ร็อบบี้ อเมล ความยาว : 1 ชั่วโมง 45 นาที กำหนดฉาย : 3 กรกฎาคม 2563 หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนัง Netflix เรื่องอื่นๆ เช่น รีวิว Over the Moon เนรมิตฝันสู่จันทรา กับตำนานความรักในเทศกาลไหว้พระจันทร์ ได้อีกที่ filmograd.net

ห้ามพลาด รีวิว All Together Now หนังนอกกระแสฟีลกู้ดจาก Netflix!

ชีวิตของคนเราหลายครั้งที่ต้องพบเจอกับ “ความยากลำบาก” แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าความลำบากเหล่านั้นเองที่เข้ามาเติมเต็มความแข็งแกร่งให้กับตัวของเรา เพราะปัญหาทุกปัญหาที่ถาโถมเข้ามาจะกระตุ้นให้เรารู้จักกับการแก้ปัญหา และการทำอย่างไรให้ไม่เจอมันอีก แต่ก็ไม่รู้ว่าปัญหาบางอย่างมันจะยิ่งใหญ่เกินตัวของเด็กสาวคนนี้ไปหรือใหม่ อย่างในเรื่อง All Together Now ที่กล่าวถึงเรื่องราวของเด็กสาวคิดบวก ที่คอยแบ่งปันพลังงานบวกให้กับคนรอบข้างอยู่เสมอ อย่าง “แอมบอร์ แอพเพิลตัน” ที่มีเหตุจำเป็นต้องกลายเป็นคนไร้บ้าน ต้องมาอยู่กับแม่บนรถบัสโรงเรียน และเมื่อต้องอาบน้ำก็ต้องแอบตีเนียนห้องน้ำของที่ทำงานของแอมบอร์เอง ในตัวหนังเราจะได้เห็นมุมมองสุดดาร์กที่เกินคาดเดาของเด็กสาว ที่แม้เธอจะพยายามมองปัญหารอบตัวเป็นสิ่งที่ท้าทายและไม่ใช่บาดแผลอย่างที่หลายคนเลือกมอง มันก็ยากเกินที่จะทำใจให้เข้มแข็งได้ เพราะไม่มีใครอยากที่จะทำเป็นไม่รู้หรอกว่าตัวเองกำลังต่อสู้กับอะไรอยู่ ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่เหนื่อยเหลือเกิน แม้ว่าเราจะคาดหวังให้หนังชี้เกี่ยวกับปมของการใช้ชีวิตบนรถบัส แต่มันไม่ได้เป็นเช่นนั้น หนังได้เล่าเกี่ยวกับปมปัญหาครอบครัวที่ส่งผลต่อการใช้ชีวิตของแอมบอร์มากกว่า ซึ่งก็เป็นเรื่องดีเพราะทำให้หนังไม่ดูน่าเบื่อเกินไป แน่นอนว่าเป็นธรรมดาของหนังวัยรุ่นที่จะมีเรื่อง “รักวัยรุ่น” สอดแทรกเข้ามาหนังเรื่องนี้ก็มีเช่นกัน ซึ่งเป็นความรักที่เกิดกับนางเอกและพระเอกที่เป็นลูกเศรษฐี เธอเลือกที่จะไม่ขอวาดฝันกับมันมากเพราะรู้ว่าช่องว่างระหว่างเธอกับเขามันมากเกินไป ความสามารถด้านดนตรีที่โดดเด่นของแอมบอร์เราได้เห็นเกือบตลอดทั้งเรื่อง ทั้งการร้องเพลงที่ทำออกมาได้ดีทั้งภาคอังกฤษและไทยเอง นางเอกต้องการจะเรียนต่อที่วิทยาลัยด้านดนตรีโดยเฉพาะแต่นั้นก็ต้องใช้เงินจำนวนมากเลยทีเดียวไม่รู้ว่าเธอจะสามารถทำมันได้สำเร็จหรือไม่ ต้องคอยติดตามชมกัน ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับหนัง “All Together Now” ประเภท : วัยรุ่น ดราม่า ผู้กำกับ : เบร็ทท์ เฮลีย์ นักแสดงนำ : อัลลิ’อิ คราวัลโย,เรนชี่ เฟลิซ,จัสติน่า มาชาโด ความยาว : 1 ชั่วโมง 32 นาที กำหนดฉาย : 28 สิงหาคม 2563 หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนัง Netflix เรื่องอื่นๆ เช่น ชีวิตนี้ขอเลือกตามหัวใจตัวเอง “The Half Of It” รักครึ่ง ๆ กลาง ๆ หนังดีจาก Netflix ได้อีกที่ filmograd.net

“Nine Days” หนังสุดครีเอท เมื่อเทวดาหาคนมาเกิดใหม่ด้วยการ “สัมภาษณ์”

Nine Days หนังขายไอเดียสุดครีเอท ที่จับเอาความเชื่อเรื่องสวรรค์และการเวียนว่ายตายเกิดเข้ากับพล็อตหนังดราม่าจนบังเกิดเป็นไอเดียที่แปลกและแหวกแนวสุด ๆ ที่ว่าด้วย “เทวดา” ผู้หนึ่งที่คอยทำหน้าที่คัดเลือกดวงวิญญาณที่จะได้ลงไปเกิดใหม่ด้วยการ “สัมภาษณ์” และทดสอบความบริสุทธิ์ของดวงวิญญาณเหล่านั้น แน่นอนว่าNine Daysจะเปี่ยมไปด้วยประเด็นดราม่าสุดเข้มข้นของเหล่าดวงวิญญาณร้อยแปดพันเก้าที่พร้อมทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองได้ไปเกิดใหม่ Nine Days หนังขายไอเดียสุดครีเอท Nine Daysกำกับโดย “เอ็ดสัน โอดะ” เปิดตัวที่เทศกาลหนังซันแดนซ์เมื่อต้นปีที่ผ่านมา โดยหนังเรื่องNine Daysเป็นผลงานการกำกับภาพยนตร์เรื่องแรกของ เอ็ดสัน โอดะ (Edson Oda) ผู้กำกับเชื้อสายญี่ปุ่น-บราซิล ที่มีชื่อเสียงด้านการกำกับมิวสิควิดีโอและโฆษณามาก่อน นอกจากนี้Nine Daysยังได้นักแสดงดังสมทบกันอย่างคับคั่ง ไม่ว่าจะเป็น บิลล์ สการ์สการ์ด (Bill Skarsgård) จาก IT ภาค 1-2 (2017-2019), ซาซี่ บีตซ์ (Zazie Beetz) จาก Joker (2019), เบเนดิคท์ หว่อง (Benedict Wong) จาก Dr. Strange (2016) และ วินสตัน ดุ๊ก (Winston Duke) จาก Black Panther (2018) โดยNine Daysเล่าเรื่องราวของ “วิล” (Winston Duke) เทวดาผู้ทำหน้าที่คัดเลือกดวงวิญญาณที่เหมาะสมจะได้กลับไปเกิดใหม่บนโลกมนุษย์ด้วยการ “สัมภาษณ์” ซึ่งเขามีเวลาเพียง 9 วันเพื่อฟันธงว่าวิญญาณดวงไหนคู่ควรจะได้รับสิทธิ์นั้น ส่วนวิญญาณที่ไม่ถูกคัดเลือกก็จะสลายไป แต่วิลต้องคิดหนักเมื่อเขาได้พบกับ “เอ็มม่า” (Zazie Beetz) วิญญาณที่แตกต่างไม่เหมือนกับวิญญาณดวงอื่น จนเกิดเป็นเรื่องราวสุดดราม่าที่วิลมีเวลาเพียงแค่ 9 วันเท่านั้นเพื่อตัดสินใจเลือกอะไรบางอย่าง  ทั้งนี้Nine Daysเปิดฉายรอบปฐมทัศน์ไปแล้วที่งานเทศกาลหนังซันแดนซ์ตอนต้นปี แถมยังได้รับคำวิจารณ์บนเว็บมะเขือเน่า (Rotten Tomatoes) สูงถึง 86% เลยทีเดียว แต่สำหรับใครที่อยากดูอาจจะต้องอดใจรอสักเล็กน้อย เพราะยังไม่มีข้อมูลว่ามีใครซื้อเข้ามาฉายในเมืองไทยหรือไม่ หรือจะฉายเมื่อไหร่ ซึ่งเราก็หวังว่าจะมีผู้ใหญ่ใจดีซื้อเข้ามาฉายในเร็ววันนี้  หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนังต่างประเทศเรื่องอื่นๆ เช่น เมื่อ “บัสเตอร์ คีตัน” ได้รับบาดเจ็บในหนังเรื่องเชอร์ล็อคจูเนียร์ ได้อีกที่ filmograd.net

เมื่อ “บัสเตอร์ คีตัน” ได้รับบาดเจ็บในหนังเรื่องเชอร์ล็อคจูเนียร์

ขึ้นชื่อว่าเป็นภาพยนตร์ตลกในยุคก่อนแล้วก็คงหนีไม่พ้นฉากการขว้างพายต่างๆ หรือจะเป็นมุกเจ็บตัวที่อาจทำให้เลอะเทอะบ้าง แต่ทว่าสำหรับ บัสเตอร์ คีตัน แล้ว เขากลับมีแนวทางการแสดงที่ต่างไปจากคนอื่นทั้งการเสี่ยงตายและมีฉากที่ใช้จังหวะความพอดีอย่างมาก รวมถึงการใช้ความสามารถของร่างกายที่ทำให้เขามีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก จนกระทั่งในเรื่องเชอร์ล็อคจูเนียร์ที่เขาต้องประสบอุบัติเหตุจนต้องพักรักษาตัวเลยทีเดียว “บัสเตอร์ คีตัน” กับอุบัติเหตุในหนังเรื่องเชอร์ล็อคจูเนียร์ สำหรับเรื่องราวภาพยนตร์ตลกของบัสเตอร์ คีตันที่ชื่อเชอร์ล็อคจูเนียร์นั้นจะเกี่ยวข้องกับเจ้าตัวที่รับบทเป็นภารโรงและเจ้าหน้าที่ฉายภาพยนตร์ในโรงหนังและตกลงหลุมรักผู้หญิงคนหนึ่งพร้อมกับซื้อขนมให้แก่คนรัก แต่ทว่าเจ้าตัวกลับมีคู่แข่งที่ชื่อชีคมาขัดขวางและใส่ร้ายเขาด้วยการขโมยของจากพ่อคนรักพร้อมแอบนำไปใส่กระเป๋าจนโดนเข้าใจผิดในที่สุด ซึ่งทางภารโรงคนนี้จะต้องไขคดีให้ได้ โดยฉากที่ทำให้บัสเตอร์ คีตันได้รับอาการบาดเจ็บถึงขั้นคอหักระหว่างถ่ายทำก็คือตอนที่เขาได้พยายามหนีออกจากรถไฟผ่านการเดินบนหลังคา ก่อนที่จะกระโดดจับเชือกของแทงค์เก็บน้ำริมทางจนกระทั่งน้ำจำนวนมหาศาลได้เทลงใส่เขาอย่างจังและทำให้เขาตกลงไปกระแทกกับหมอนรถไฟสลบไปทันที ซึ่งอาการบาดเจ็บทำให้เขาปวดหัวกว่าหลายสัปดาห์และต้องหยุดการถ่ายทำไปพักหนึ่งเลยทีเดียว หลังจากที่บัสเตอร์ คีตันถ่ายภาพยนตร์เรื่องเชอร์ล็อคจูเนียร์ได้สำเร็จ อีก 9 ปีต่อมาทางทีมแพทย์จะได้ตรวจร่างกายของเขาและพบว่าอุบัติเหตุครั้งนั้นทำให้คอของเขาทันที โดยที่เจ้าตัวไม่รู้มาก่อนและต้องใช้เวลาในการตัดต่อยาวกว่าปกติกว่าที่ภาพยนตร์เรื่องสั้นจะเสร็จสมบูรณ์ภายในสี่เดือนนั่นเอง หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนังต่างประเทศเรื่องอื่นๆ เช่น The War with Grandpa สงครามชิงเตียงนอนระหว่างหลานสุดซ่ากับคุณปู่รุ่นเก๋า ได้อีกที่ filmograd.net

The War with Grandpa สงครามชิงเตียงนอนระหว่างหลานสุดซ่ากับคุณปู่รุ่นเก๋า

The War with Grandpa มีชื่อไทยสุดครีเอทว่า “ถ้าปู่แน่ ก็มาดิครับ” ถือเป็นหนังที่มีที่มาสุดแปลกเรื่องหนึ่งเลยก็ว่าได้ เพราะจุดเริ่มต้นของโปรเจ็คนี้เกิดจากเด็กน้อยอายุเพียง 11 ปีที่ชื่อ ธี เพิร์ธ ได้อ่านหนังสือนอกเวลาเรื่องThe War with Grandpaที่โรงเรียนประถมแล้วเกิดประทับใจจนอยากชมเวอร์ชันภาพยนตร์ เขาจึงทำเหมือนที่เด็กทุกคนทำนั่นคือร้องกระจองงอแงบอกพ่อแม่ถึงสิ่งที่ตัวเองต้องการ แต่มันพิเศษตรงที่ พ่อแม่ของเขาคือ มาร์วิน เพิร์ธ (Marvin Peart) และ โรซ่า เพิร์ธ (Rosa Peart) สองโปรดิวเซอร์ภาพยนตร์ชื่อดังของวงการ จนเป็นที่มีของหนังThe War with Grandpaนั่นเอง  The War with Grandpa ได้นักแสดงรุ่นใหญ่อย่าง “โรเบิร์ต เดอ นีโร” มารับบทคุณปู่! ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าหนังเล็ก ๆ ทุนต่ำ อย่างThe War with Grandpaจะได้นักแสดงรุ่นใหญ่บารมีเหลือล้นอย่าง โรเบิร์ต เดอ นีโร (Robert De Niro) มารับบทคุณปู่ซึ่งเป็นตัวละครสำคัญของเรื่อง ส่วนนักแสดงที่มารับบท “หลาน” หรือ “ปีเตอร์” คู่ปรับของคุณปู่ในเรื่องได้แก่นักแสดงเด็กอย่าง โอ๊คส์ เฟกลีย์ (Oakes Fegley) ที่เคยมีผลงานใหญ่อย่าง Pete’s Dragon (2016) โดยThe War with Grandpaได้ ทิม ฮิลล์ (Tim Hill) ผู้กำกับที่เคยผ่านหนังแอนิเมชั่นและหนังเด็กมาแล้วนับไม่ถ้วน แต่ที่สุดจัดยิ่งไปกว่านั้นThe War with Grandpaยังมีชื่อ ธี เพิร์ธ ลูกชายวัย 11 ปีของสองโปรดิวเซอร์ที่เป็นตัวตั้งตัวตีของภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นหนึ่งใน “โปรดิวเซอร์” อย่างเป็นทางการของโปรเจ็คด้วย ทำให้เขาได้ชื่อว่าเป็นโปรดิวเซอร์ภาพยนตร์ที่อายุน้อยที่สุดเท่าที่เคยมีมา!  The War with Grandpaว่าด้วยเรื่องราวของ ปีเตอร์ (Oakes Fegley) ที่ถูกพ่อแม่บังคับให้ต้องสละห้องนอนสุดรักให้กับ “คุณปู่” (Robert De Niro) อย่างไม่เต็มใจนัก จนทำให้เขาต้องทำทุกวิถีทางเพื่อแย่งชิงห้องนอนของตัวเองคืนมาให้ได้ โดยมีเพื่อน ๆ เป็นกำลังหนุน แต่ทางด้านคุณปู่ก็ไม่ยอมง่าย ๆ จนเป็นที่มาของมหาสงครามแย่งชิงห้องนอนที่ทั้งปู่และหลานฟาดฟันกันอย่างดุเดือด  แค่ดูจากเรื่องย่อก็บอกได้คำเดียวว่านี่เป็นหนังที่เหมาะกับการไปดูเป็นครอบครัว แถมยังเป็นหนังครอบครัวฟิลกู้ดที่หายากในยุคนี้เพราะส่วนใหญ่หนังแนวนี้มักถูกแทนที่ด้วยหนัง “บล็อกบัสเตอร์” จนทำให้หนังครอบครัวหายหน้าหายตาไปจากโลกภายนตร์  สำหรับใครที่อยากชมThe War with Grandpaอาจจะต้องเช็คว่าโรงภาพยนตร์ใกล้บ้านท่านมีเข้าฉายหรือไม่ เพราะThe War with Grandpaเป็นค่อนข้างเป็นหนังทางเลือกที่ไม่ค่อยมีคนจับตามองมากนัก  หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนังต่างประเทศเรื่องอื่นๆ เช่น “แจ็คกี้ คูแกน” ดาราเด็กที่ห่างหายไปจากวงการสู่ลุงเฟสเตอร์ จากอดัมส์แฟมิลี่ ได้อีกที่ filmograd.net

“แจ็คกี้ คูแกน” ดาราเด็กที่ห่างหายไปจากวงการสู่ลุงเฟสเตอร์ จากอดัมส์แฟมิลี่

ในปี 1921 นั้นถือว่าเป็นปีทองของเด็กชายตัวน้อยที่ชื่อว่า แจ็คกี้ คูแกน หลังจากที่เจ้าตัวมีโอกาสได้แสดงภาพยนตร์ร่วมกับชาร์ลี แชปลินในเรื่องเดอะคิด จนทำให้เขามีชื่อเสียงโด่งดังเป็นอย่างมาก จนกระทั่งมีผลงานออกจากโทรทัศน์และสินค้าต่างๆ มากมาย ก่อนที่เขาจะประสบปัญหาชีวิตส่วนตัวและหายไปจากวงการพร้อมกับมาอยู่ในวงการแสดงอีกครั้งในฐานะลุงเฟสเตอร์จากอดัมส์แฟมิลี่นั่นเอง “แจ็คกี้ คูแกน” จากดาราเด็กสู่ลุงเฟสเตอร์ สำหรับผลงานเรื่องแรกที่แจ็คกี้ คูแกนได้ร่วมงานกับชาร์ลี แชปลินก็คือเรื่องอะเดย์เพลสเชอร์จากความสามารถที่เขาสามารถเลียนแบบคนอื่นในกองถ่ายได้นั่นเอง จนกระทั่งเขาได้รับบทเป็นจอห์นในเรื่องเดอะคิด ซึ่งเป็นเด็กที่ถูกทิ้งไว้หน้าบ้านมหาเศรษฐีแต่เหตุการณ์กลับพลิกผันจนต้องไปอยู่กับพระเอกร่างเล็กในที่สุด โดยภาพยนตร์เรื่องนี้เองที่ทำให้เขาโด่งดังและเป็นพรีเซนเตอร์ให้ของใช้มากมายเลยทีเดียว ในช่วงที่แจ็คกี้ คูแกนเริ่มโตขึ้นมาแล้วนั้น เจ้าตัวก็ต้องพบความจริงว่าตัวเองต้องหยุดงานแสดงเพื่อไปสนใจเรื่องการเรียนหนังสือมากขึ้น จนกระทั่งช่วงอายุ 20 ปีที่เขาได้รู้ความจริงว่าเงินที่เคยได้จากการแสดงนั้นกลับถูกแม่และพ่อบุญธรรมนำเงินไปใช้เกือบทั้งหมดและต้องเหลือเงินอยู่เพียงแสนดอลลาร์จากสี่ล้านเลยทีเดียว ก่อนที่สุดท้ายจะเป็นทางชาร์ลี แชปลินที่ได้ให้ความช่วยเหลือเขาในเวลาต่อมา หลังจากที่คูแกนออกจากวงการบันเทิงไปหลายปี เขาก็กลับมาสู่หน้าจอโทรทัศน์อีกครั้งด้วยบทบาทของลุงเฟสเตอร์ประจำครอบครัวอดัมส์ที่เคยเป็นการ์ตูนดังมาก่อน จนกลายเป็นภาพจำสำหรับแฟนๆ ในยุค 60 พร้อมกับได้แสดงในซีรีย์นี้ถึง 64 ตอนด้วยกัน ก่อนจะลาออกจากวงการนี้ไปอีกครั้งในปี 1980 หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนังต่างประเทศเรื่องอื่นๆ เช่น ฮิตติดกระแส Netflix : The Meg โครตฉลามพันล้านปี หนังเด็ดฟอร์มยักษ์ ได้อีกที่ filmograd.net

ชีวิตนี้ขอเลือกตามหัวใจตัวเอง “The Half Of It” รักครึ่ง ๆ กลาง ๆ หนังดีจาก Netflix

“The Half Of It” กับการเล่าถึงเรื่องราวช่วงชีวิตวัยรุ่นที่ถือได้ว่าเป็นช่วงชีวิตที่ใคร ๆ ก็รู้สึกผูกพันและไม่อยากสูญเสียมันไป เพราะเราได้ทำหลายสิ่งหลายอย่างที่เราอยากทำ ได้ทดลองสิ่งที่เราได้แต่สงสัยในวันเด็ก ได้มีครั้งแรกในเกือบทุกอย่าง ได้เริ่มต้น ซึ่งเป็นภาพจำที่แสนสุขสมใจของพวกเรา แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนหรอกนะที่จะสามารถใช้ชีวิตวัยรุ่นได้ตามหัวใจตนเองอย่างแท้จริง เพราะความจริงแล้วเราต่างก็มีข้อจำกัดและแย่ที่สุดคือเราได้ปิดกั้นหัวใจของเราเองตั้งแต่ต้น หนังเรื่องนี้เป็นการเล่าชีวิตช่วงไฮสคูลของเด็กสาวเชื้อสายเอเชียที่อาศัยอยู่กับพ่อเพียงลำพังในเมืองที่แสนเงียบสงบอย่าง “เอลลี่” ที่ต้องคอยหารายได้พิเศษจากการเขียนรายงานให้เพื่อนในชั้นเรียน จากพรสวรรค์ด้านการเขียนของเธอ ทุกอย่างก็ดำเนินไปอย่างทุกวัน ถ้าสังเกตจะรู้เลยว่าชีวิตของเอลลี่ค่อนข้างจืดชืดและไร้สีสันเป็นอย่างมาก แต่แล้ววันหนึ่ง “พอล” หนุ่มนักกีฬาประจำโรงเรียนก็มาขอร้องให้เธอเขียนจดหมายรักให้ เพราะได้ยินมาว่าเธอเขียนเก่ง แต่เธอบอกปัดในตอนแรกเพราะคิดว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวและเธอไม่อยากเข้าไปก้าวก่าย แต่ด้วยเหตุจำเป็นที่บ้านเธอมีค่าใช้จ่ายเยอะ นั่นทำให้เธอตอบรับงาน และยิ่งรู้ว่าคนที่พอลตั้งใจจะเขียนถึงคือ “แอสเทอร์” สาวสวยทรงเสน่ห์ ที่เธอเองกำลังสนใจ เธอก็ยิ่งยินดี แน่นอนว่าสำนวนของเอลลี่สามารถทำให้แอสเทอร์สนใจได้ไม่อยากเลย เพราะมันเต็มไปด้วยความโรแมนติก แต่ปัญหาเกิดตอนที่พอลต้องออกเดตกับเธอต่อหน้า เพราะเขาเป็นคนที่พูดไม่เก่งซึ่งขัดกับคำพูดในจดหมายอย่างสิ้นเชิงทำให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างลำบากในช่วงแรก เขาจึงขอร้องให้เอลลี่คอยช่วย พวกเขาสองคนก็เริ่มสนิทกันมากขึ้น จนทำให้พอลเองเกิดอารมณ์หวั่นไหวไปกับเอลลี่ และการกระทำของเขาก็ทำให้รู้ว่าแท้จริงแล้วเอลลี่หลงรักแอสเทอร์มาโดยตลอดตั้งแต่แรก ยิ่งไปกว่านั้นยังทำให้เอลลี่กล้าทำตามหัวใจของตนเองในการเปิดเผยความรู้สึกที่มีต่อแอสเทอร์ และทั้งสองก็ได้พูดคุยเริ่มความสัมพันธ์ที่สวยงามกันตั้งแต่วันนั้น ส่วนตัวคิดว่าหนังเรื่องนี้เล่าด้วยโทนที่ค่อนข้างเศร้า เย็น ในตอนแรก แล้วค่อย ๆ บรรจงใส่ความอบอุ่นเข้าไปในเนื้อเรื่องผ่านมิติของตัวละครได้ค่อนข้างแนบเนียน ทำให้เราอินมากขึ้น และค่อนข้างเข้ากับโลเคชั่นในเมืองที่ค่อนข้างเงียบเหงาแม้ว่าจะมีวัยรุ่นอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากก็ตามที ดูเรื่องนี้จบความคิดที่อยากทำตามความฝันก็กระโจนเข้ามาอย่างพรั่งพรู ใครที่กำลังลังเลในการทำตามใจตนเองควรดูเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับหนังเรื่อง “The Half Of It” ประเภท : ดราม่า/LGBTQ ผู้กำกับ : อลิซ วู นักแสดงนำ : เลียห์ ลูอิส,โวล์ฟกัง โนโวกรตซ์,แดเนียล ดีเมอร์ ความยาว : 1 ชั่วโมง 44 นาที กำหนดฉาย : 2563 หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนัง Netflix เรื่องอื่นๆ เช่น รีวิว Holidate (ฮอลิเดท) หนังรักสำหรับคนเกลียดวันหยุด ที่จะทำให้คุณฟินกว่าเดิม ได้อีกที่ filmograd.net

ฮิตติดกระแส Netflix : The Meg โครตฉลามพันล้านปี หนังเด็ดฟอร์มยักษ์

จากตำนานความเชื่อ และมุมมองด้านวิทยาศาสตร์ผนวกให้เกิดเป็นเรื่องราวของฉลามยักษ์ที่มนุษย์เชื่อว่าได้สูญพันธุ์ไปแล้วกว่า 200 ล้านปีมาแล้ว แต่ในเรื่องราวของ The Meg อาจทำให้ความเชื่อเหล่านั้นสั่นครอนก็เป็นได้ เมื่อทีมสร้างโปรดักชักใหญ่ที่ทุ่มทุนสร้างความอลังการได้หยิบยกตัวละครเอกจากนวนิยาย เรื่อง Meg : A Novel of Deep Terror อย่าง “โจนาส เทย์เลอร์” อดีตนาวิกโยธินเรือดำน้ำฝีมือฉมังที่ต้องมีปมในใจจากการไม่สามารถช่วยเพื่อนในทีมให้รอดชีวิตได้ และทำให้ภารกิจของเขาล้มเหลว โจนาสเลือกที่จะใช้ชีวิตอย่างสบาย ๆ ที่ประเทศไทย แต่แล้วก็เกิดเหตุที่ทำให้เขาต้องกลับเข้าไปยังวงการนี้อีกครั้ง เมื่อนักธุรกิจคนหนึ่งได้ริเริ่มโครงการการสำรวจใต้ร่องสมุทรมาเรียน่า นอกชายฝั่งประเทศจีน แต่ทีมนักสำรวจเจอปัญหาเมื่อพวกเขาส่งเรือดำน้ำออกไปสำรวจบริเวณดังกล่าวได้รับการโจมตีจากสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ ที่พวกเขาเชื่อว่าเป็นเจ้าฉลามยักษ์ในตำนานอย่าง “เมกาโลดอน” แม้ว่าโจนาสจะเข้าไปช่วยเหลืออย่างไม่ค่อยเต็มใจเนื่องจากมีปัญหาบาดหมางกับแพทย์ประจำสถานีก็ตาม แต่สุดท้ายเขาก็ก้าวเข้าไปสู่อันตรายในครั้งนี้ ด้วยความที่หนังประเภทวิกฤตการณ์ การเอาตัวรอดของมนุษย์มักจะได้รับความนิยมสูงอยู่แล้ว แต่มันก็มีจุดที่ยากมากในการเดินเรื่องคือการสร้างให้ตัวสัตว์ประหลาดนั้นมีความสมจริง เพื่อช่วยให้ผู้ชมเชื่อถึงพลังและอำนาจการทำลายล้างของมัน รวมถึงจะได้ลุ้นระทึกไปกับตัวละครต่าง ๆ ว่าพวกเขาจะสามารถเอาตัวรอดจากมหันตภัยในครั้งนี้ไปได้หรือไม่ อีกทั้งเรียกว่าเป็น “สูตรสำเร็จ” เลยก็ว่าได้ที่หนังแนวนี้จะสร้างให้พระเอกของเราเนี่ยมีความสามารถสูง บางทีก็สูงเกินยอดมนุษย์ไปอีก แต่ก็นะหนังแนวนี้เขาต้องการฮีโร่ในการช่วยเหลืออยู่แล้ว สำหรับเรื่อง The Meg มีข้อพิจารณาส่วนที่เป็นบท ส่วนตัวคิดว่ายังขาดความสมเหตุสมผล การรับกันของเหตุการณ์ และการโยงเรื่องต่าง ๆ ในเรื่องนี้มุ่งเน้นไปที่การสร้างความบันเทิง ความลุ้น ความตื่นเต้น เต็มตา เป็นส่วนใหญ่มากกว่า ส่วนเรื่องความสยองเลือดสาดบอกเลยว่าเบามาก ๆ คงเพราะไม่อยากให้หนังกลายเป็น Rate R จะได้เจาะตลาดกว้างมากขึ้นได้ ทั้งประเทศจีนและประเทศไทยเป็นหลัก ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับหนัง The Meg ประเภท : แอ็คชั่น/ไซไฟ ผู้กำกับ : จอห์น เทอร์เทิลท็อบ นักแสดงนำ : เจสัน สเตธัม,รูบี้ โรส,หลี่ ปิงปิง,เรนน์ วิลสัน ความยาว : 1 ชั่วโมง 52 นาที กำหนดฉาย : 2561 หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนังต่างประเทศเรื่องอื่นๆ เช่น รีวิว ผีอยู่ในผม (0.0 Mhz) จากเว็บตูนสุดโด่งดัง กลายมาเป็นหนังผีสุดหลอน ได้อีกที่ filmograd.net

รีวิว ผีอยู่ในผม (0.0 Mhz) จากเว็บตูนสุดโด่งดัง กลายมาเป็นหนังผีสุดหลอน

เอาล่ะสิในเมื่อผีอยู่หรือวิญญาณนั้นมีอยู่ทุกที่ที่เราไปทุกที่ที่เราอยู่ ไม่เว้นแม้กระทั่งอยู่ในผม หรือศรีษะเราอย่างใน รีวิว ผีอยู่ในผม (0.0 Mhz) นั่นเอง เรียกได้ว่าต้องนับถือคนที่ตั้งชื่อเรื่องหนังเรื่องนี้เลย เพราะมันทำให้หนังเรื่องนี้มันมีความน่าสนใจ จนทำให้คนดูอย่างเราต้องไปหามารับชมให้รู้ให้ได้ว่า หนังเรื่องนี้มันจะเป็นยังไงกันแน่ แล้วเป็นผีที่อยู่ในผมมันจะออกมาในลักษณะแบบไหนกันนะ เอาเป็นว่าเราไปดูกันเลยดีกว่าว่ามันเป็นยังไงกันบ้าง ไปเลย! ชื่อเรื่อง : “ผีอยู่ในผม” (0.0 Mhz) แนว : สยองขวัญ นักแสดง : Yoon-young Choi, Shin Joo-Hwan, Eun-ji Jung, Won-Chang Jung, Nan-Hee Kim, Sung-yeol Lee  , Jung-Hee Nam, Myung-shin Park บทภาพยนตร์ : Sun-Dong Yoo ผู้กำกับ : Sun-Dong Yoo ค่าย : Smile Entertainment วันฉาย : 29 พฤษภาคม 2019 เวลา : 01 ชั่วโมง 42 นาที IMDb : 4.8 (จากทั้งหมด 537 โหวต) เรื่องย่อ เรื่องราวของวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งที่ประกอบไปด้วย “ซังยอล” (รับบทโดย Sung-yeol Lee) , “โซฮี” (รับบทโดย Eun-ji Jung) , “ยุนจอง” (รับบทโดย Yoon-young Choi) , “ฮันซอก” (รับบทโดย Shin Joo-Hwan) และ “แทซู” (รับบทโดย Won-Chang Jung) ซึ่งพวกเขานั้นชอบกล้าท้าผีมาก โดยพวกเขาได้ไปลองดีตามสถานที่รกร้างต่างๆ เพื่อทดสอบคลื่นความถี่ที่สามารถเรียกผีได้ จนในวันหนึ่งที่พวกเขาได้ไปลองดีที่บ้านร้างแห่งหนึ่ง ที่ที่ทำให้การทดสอบของพวกเขาต้องกลายเป็นฝันร้ายในทันที ซึ่งพวกเขาจะต้องหาทางเอาชีวิตรอดจากผีสาวผมยาวให้ได้ รีวิว ผีอยู่ในผม (0.0 Mhz) หนังเรื่องนี้นั้นมีการดัดแปลงมาจากเว็บตูนสุดโด่งดังที่เขียนโดย “Jak Jang” นั่นเอง ซึ่งสำหรับหนังเรื่องนี้นั้นพล็อตเรื่องจะมาพร้อมๆกับสูตรสำเร็จตามแบบฉบับหนังไทยที่เราได้ดูกันเลย คือเราสามารถเดาทางได้ว่าท้ายที่สุดแล้วใครจะเป็นคนที่รอดชีวิต ฉากผีต่างๆที่เราต้องตกใจและตื่นเต้นก็เรียกได้ว่าเป็นอะไรที่เราสามารถมองออกได้อีกเช่นเคย แต่มีสิ่งหนึ่งที่ดูจนจบแล้วยังหาคำตอบให้กับหนังเรื่องนี้ไม่ได้เลยก็คือ “ผีผมยาวนั้นต้องการอะไร ทำไมต้องตามฆ่าอย่างไร้เหตุผล” เรียกได้ว่าถ้าหากใครที่เคยอ่านในเว็บตูนมาก่อนแล้วมาดูหนังเรื่องนี้นั้น อาจจะไม่ค่อยถูกใจกันสักเท่าไร เพราะในการ์ตูนนั้นมันมีอะไรที่ลึกลับซับซ้อน มีการดึงความสนใจของผู้อ่านอย่างเราได้มากกว่ามาก เหมือนในเว็บตูนมันจะมีการบิ้วอารมณ์เราได้มากกว่าซะอีก ทั้งๆที่เป็นแต่การ์ตูนนะเนี่ย ตัวอย่าง หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนังต่างประเทศเรื่องอื่นๆ เช่น รีวิวหนัง แวมไพร์ ทไวไลท์ 2 (The Twilight Saga: New Moon) ได้อีกที่ filmograd.net

รีวิว Holidate (ฮอลิเดท) หนังรักสำหรับคนเกลียดวันหยุด ที่จะทำให้คุณฟินกว่าเดิม

เชื่อว่าสำหรับคอหนังหลายๆคนคงจะคุ้นเคยหรือเคยได้ยินชื่อของ “McG” กันมาบ้างแล้วล่ะ ด้วยความที่เขาเคยมีผลงานการกำกับภาพยนตร์ที่เคยสร้างชื่อมาแล้วอย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นผลงานการกำกับหรือเป็นผู้อำนวยการสร้างอย่าง “Charlie’s Angels” , “Rim of the World” หรือหนังในเครือของ “The Babysitter” นั่นเอง และในวันนี้แอดจะพามาดูผลงานของเขากันอีกเรื่องอย่าง รีวิว Holidate (ฮอลิเดท) แต่ว่าในหนังเรื่องนี้นั้นเขาไม่ได้ลงมากำกับเองหรอกนะ เขาทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งในส่วนของผู้อำนวยการสร้างนั้น ยังไงกว่าหนังจะปล่อยออกมาฉายได้ก็ต้องผ่านเขาก่อนทุกขั้นตอนอยู่แล้ว เรียกได้ว่าน่าจะรับรองผลงานได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว ชื่อเรื่อง : “Holidate” (ฮอลิเดท) แนว : โรแมนติก คอมเมดี้ นักแสดง : Emma Roberts, Luke Bracey บทภาพยนตร์ : Tiffany Paulsen ผู้กำกับ : John Whitesell ค่าย : Netflix วันฉาย : 28 ตุลาคม 2020 เวลา : 01 ชั่วโมง 43 นาที IMDb : 6.3 (จากทั้งหมด 1,602 โหวต) เรื่องย่อ เรื่องราวของ “สโลน” (รับบทโดย Emma Roberts) หญิงสาวผู้ที่เกลียดวันหยุด เพราะมันเหมือนเป็นวันรวมญาติ ที่ทำให้เธอต้องโดนกดดันจากคนเป็นแม่เรื่องที่อยากให้เธอเริ่มสร้างครอบครัวของตนเองได้แล้ว และในทุกๆวันหยุดนั้นแม่ของเธอก็มักจะพยายามจับคู่กับผู้ชายให้เธอมาโดยตลอด โดยในวันหนึ่งเธอได้พบเจอเข้ากับ “แจ็คสัน” (รับบทโดย Luke Bracey) ชายผู้ที่เกลียดวันหยุดเช่นกันด้วยความบังเอิญในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ซึ่งในการพบกันของพวกเขานั้น พวกเขาทั้งคู่ได้มีการตกปากรับคำว่า จะเป็นแฟนกันในทุกๆวันหยุดแบบไม่ผูดมัดใดๆทั้งสิ้นตลอดทั้งปี รีวิว Holidate (ฮอลิเดท) เอาเป็นว่าสำหรับหนังเรื่องนี้นั้น สามารถดูได้แบบเพลินๆน่ารักดีนะ เป็นหนังแนวโรแมนติกคอมเมดี้ที่ดูแล้วไม่น่าเบื่อย่างที่คิด เพราะในหนังนั้นพยายามสอดแทรกมุกตลกมาให้เราแอบขำ แอบบอมยิ้มได้ตลอดทั้งเรื่อง อีกทั้งนางเอกในหนังเรื่องนี้ยังน่ารักมากๆ เข้าขั้นสวยได้เลยแหละ ขนาดแอดเองเป็นผู้หญิงด้วยกัน ยังหลงนางเลย แถมพระเอกของเขาก็ยังดูดีอีกด้วย เรียกได้ว่าในหนังเรื่องนี้มีคนหน้าตาดีกันทั้งเรื่องเลยจริงๆ และในส่วนของการดำเนินเรื่องนั้นก็ถือได้ว่า เดินเรื่องได้รวดเร็วมาก ไม่มีรีรออะไรเลยสักนิด เปิดเรื่องมาปุ๊ป พระเอกกับนางเอกก็ตกลงเป็นแฟนกันวันหยุดซะแล้ว ซึ่งถ้าถามหาว่าดูหนังเรื่องนี้แล้วได้อะไร แอดบอกเลยว่า มันได้ข้อคิดอย่างหนึ่งนะ นั่นก็คือ ในการที่เราจะรักใครสักคนนั้นเราควรที่จะแสดงตัวตนของเราจริงๆออกมาให้อีกฝ่ายรับรู้ ไม่ใช่เป็นการแกล้งแสดงออกมาแต่ด้านที่อีกฝ่ายต้องการ ตัวอย่าง หากคุณไม่อยากพลาดทุกข้อมูลเกี่ยวกับการรีวิวหนัง อย่าลืมติดตามหนัง Netflix เรื่องอื่นๆ เช่น รีวิว Over the Moon เนรมิตฝันสู่จันทรา กับตำนานความรักในเทศกาลไหว้พระจันทร์ ได้อีกที่ filmograd.net